การพัฒนาเมืองอัจฉริยะทั้ง 7 ด้านอัจฉริยะ โครงการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมืองอัจฉริยะ : ความเป็นเลิศที่ยั่งยืนสู่ชุมชน จากการนำนโยบาย "สมาร์ต ซิตี้" มาปฏิบัติของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (2562-2568)

 

การพัฒนาเมืองอัจฉริยะทั้ง 7 ด้านอัจฉริยะ โครงการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมืองอัจฉริยะ : ความเป็นเลิศที่ยั่งยืนสู่ชุมชน จากการนำนโยบาย "สมาร์ต ซิตี้" มาปฏิบัติของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่   

(2562-2568) 

1. การพัฒนาในด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment)

          การนิยามความหมายของการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) 

            มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้นิยามว่า หมายถึง เมืองที่คำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ เช่น การจัดการน้ำ การดูแลสภาพอากาศ การบริหารจัดการของเสีย และการเฝ้าระวังภัยพิบัติ ตลอดจนเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น[57]

          สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ ในการวิจัยนี้ประกอบด้วย ทรัพยากรธรรมชาติ น้ำ อากาศ ป่าไม้ ดิน น้ำทะเล พื้นที่สีเขียว ภูเขา ของเสียและก๊าซเรือนกระจก (GHG) ที่เกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏในพื้นที่นั้น โดยผสมผสานกับเรื่องความยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainability) การบริโภคและการบริหารจัดการ (Consumption & Management) ประสิทธิภาพ (Efficiency) และความรับผิดชอบ (Responsibility) ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรมและข้อมูลอัจฉริยะ รวมถึงการส่งความตระหนักรู้ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียเข้าไว้ด้วยกัน

          การกำหนดเป้าหมายการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ

            เพื่อสร้าง “สังคมสีเขียว และไม่เหลือขยะ” โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำ การจัดการขยะ คุณภาพอากาศ และอนุรักษ์/เพิ่มพื้นที่สีเขียว จัดการขยะมูลฝอยแบบครบวงจรโดยปราศจากของเสีย (Zero Waste Management) และนำเอาเทคโนโลยีมามาใช้เพื่อติดตามปริมาณน้ำและคุณภาพน้ำในอ่างแก้วและอ่างตาดชมพูซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บน้ำหลักของเมืองเชียงใหม่ และวางระบบรองรับการจัดการน้ำสียและระบบสำรองน้ำเพื่อการใช้สอยแบบพึ่งพาตนเองขนาด 4,000,000 ลิตรต่อวัน มีระบบบริหารจัดการน้ำประปา (Smart Water Management) ด้วย การใช้ “Smart Meters” ที่ช่วยลดการสูญเสียน้ำในชุมชนได้ 20% ต่อปีมุ่งสร้างต้นแบบของการ รวมมีการนำเทคโนโลยี Smart Bin โดยใช้เทคโนโลยีเซนเซอร์ช่วยตรวจวัดปริมาณขยะและแจ้งไปยังรถเก็บขยะแบบอัตโนมัติ กำหนดเป้าหมายในการเป็นเมืองสะอาดสีเขียวที่มีพื้นที่สีเขียวไม่น้อยว่า 40% ต่อพื้นที่หรือต่อประชากรไม่ต่ำกว่า 22 ตารางเมตรต่อคน[126]

          โดยในปัจจุบันได้เพิ่มและให้ความสำคัญกับเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน (Neutral University) หรือ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2575 โดยดำเนินเรื่องการบริหารจัดการและจัดทำมาตราการลดก๊าซเรือน กระจกขององค์กร (Organization GHG Management) มาตรการการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่สีเขียว (CMU Carbon Sinks) และขับเคลื่อนทางความคิดแก่นักศึกษาและ       บุคลากรในมหาวิทยาลัยซึ่งความเป็นกลางทางคาร์บอนได้บรรจุอยู่ในวาระหรือ Agenda ที่ 2           

         สรุป คือ การบริหารจัดการและพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ตั้งแต่การลดการปล่อยก๊าซ CO2 จัดการของเสียครบแบบวงจร จัดการน้ำ ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและภัยพิบัติ และขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมให้เกิดแก่ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร เพิ่มและรักษาพื้นที่สีเขียว การดำเนินงานภายในต่าง ๆ ลดการสร้างมลพิษให้แก่ชุมชนอย่างรับผิดชอบต่อสังคม และบรรลุกลายเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ในปี 2575

           1.1)  หน่วยงานหลักที่ขับเคลื่อนการพัฒนาฯ : สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ (ERDI)

           สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (Energy Research and Development Institute Nakornping : ERDI) เป็นผู้ขับเคลื่อนการพัฒนาทั้งด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะและพลังงานอัจฉริยะ โดยมีโดยมีสำนักงานบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (SCMC) เป็นหน่วยงานสนับสนุนด้านเกี่ยวข้องการบริหารจัดการข้อมูลการใช้ทรัพยากรภายในมหาวิทยาลัย และร่วมด้วยหน่วยงานอื่น ๆ ต่อเนื่องมาเป็นเวลาราว ๆ 8 - 10 ปี 

          สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ ถูกจัดตั้งเป็นสถาบันในปี 2550 เทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อมงานพลังงานทดแทน งานอนุรักษ์พลังงาน งานวิจัย และงานบริการวิชาการ มีการปรับองค์กรเพื่อรองรับต่อการนำนโยบายเมืองอัจฉริยะไปปฏิบัติ จึงมีการจัดองค์การเพื่อสนับสนุนนโยบายไปปฏิบัติ (Organizational Adaptation to Support the Policy)โดยปรับเพิ่มภารกิจตามภาพ . เป็นการสนับสนุนยุทธศาสตร์พลังงานและ Smart City ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และกำหนดวิสัยทัศน์ขององค์กรเป็น เป็นที่พึ่งด้านพลังงานสะอาดให้แก่ภูมิภาคอาเซียน เป็น ตามที่ปรากฏในปี 2565[1] ต่อมาจึงปรับภารกิจและการดำเนินการอีกครั้งในปัจจุบันไปสู่เรื่อง  มุ่งสู่การเป็นสถาบันชั้นนำ ด้าน พลังงานสะอาด เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นหน่วยงานในการขับเคลื่อนในมหาวิทยาลัยเพื่อให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไปบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ภายในปี 2575[2] 

          โดยมีเป้าหมายใหญ่สูงสุดเพื่อมุ่งขับเคลื่อนและสนับสนุนให้ทั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไปสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ หรือ “Carbon Neutrality” แม้นเป็นสิ่งที่ยากมากในการกำหนดเป้าหมายดังกล่าวแต่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีความมุ่งมั่น (Commitment) ที่จะดำเนินการ ซึ่งยังไม่มีองค์การใด ๆ บนโลกนี้ทำได้มาก่อน และมีแนวคิดว่า ถ้ามหาวิทยาลัยลและสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ ได้เริ่มทำก่อน ก็จะมีองค์ความรู้และเทคโนโลยีก่อน และกลายเป็นต้นแบบ (Role Model) ในด้านสิ่งแวดล้อมก่น จะทำให้ทุกองค์การ/หน่วยงานในประเทศไทย เข้ามาพึ่งพาทั้งการศึกษาดูงานและว่าจ้าง ให้เป็นรายได้กลับสู่มหาวิทยาลัย

          และภารกิจหลักของสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะพร้อมด้วยพลังงานอัจฉริยะ ประกอบด้วย ภารกิจ 3 ประการ (ส่วนภารกิจที่ 1 ระบบจัดการบริหารไฟฟ้า ภารกิจที่ 2 โครงการสร้างพลังงานสะอาด จะกล่าวในส่วนการพัฒนาด้านพลังงานอัจฉริยะถัดไป) ตามการให้ข้อมูลของ พฤกษ์ อักกะรังสี (2566)

          โดยที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับด้านสิ่งแวดล้อมคือภารกิจด้านที่ 3 ซึ่งเพิ่มเข้าใหม่ คือ ภารกิจที่ 3) การบริหารจัดการขยะ/ของเสีย แต่เดิมนั้นสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ หน่วยงานสำหรับการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด สิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยเชียงเองไม่เคยมีภารกิจในการจัดการขยะภายในมหาวิทยาลัยมาก่อน และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แต่เดิมที่ผ่านมาในอนาคตก็ไม่ตระหนักรู้ว่า ตนเองจะต้องบริหารจัดการขยะด้วยตนเอง ต่อมาจึงได้สั่งสมการตกตะกอนทางความคิดไปสู่ความรับผิดชอบแต่สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น (Social/Environment Responsibility) แต่เดิมไปทำสัญญากับองค์การปกอครองส่วนท้องถิ่น-เทศบาล ให้มาจัดการเก็บขยะ-ของเสีย ในลักษณะขยะจะออกไปไหนก็ชั่งมันเมื่อพ้นออกไปจากมหาวิทยาลัยแล้วเราสะอาด ซึ่งไม่ใช่ในภายหลัง มหาวิทยาลัยจึงตระหนักรู้ว่า ขยะ-ของเสียจำนวนมากต่อวันได้ถูกสร้างขึ้นโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เป็นผู้สร้างมลพิษ และสร้างภาระให้กับสิ่งแวดล้อมทั้งในเขตและไปสู่นอกเขตและแต่เดิมคือการผลักภาระให้ผู้อื่นดูแลรับผิดชอบและไม่เกิดความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมที่เน้นความรับผิดชอบต่อการกระทำที่กระทบต่อด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นำมาสู่แนวคิดและโครงการการบริหารจัดการขยะ-ของเสียและเพิ่มการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุม โดยระหว่างพลังงานกับขยะหรือของเสีย สามารถนำผลิตพลังงานได้ ภารกิจใหม่ดังกล่าวจึงได้ตกมาสู่ความรับผิดชอบดูแลโดยสถาบัน

           ต่อมาราว ๆ ปี 2561 เมื่อทางมหาวิทยาลัยได้ตกตะกอนทางความคิดแล้ว จึงริเริ่มในการบริหารจัดการของเสียทั้งระบบ ทั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงจุดสิ้นสุดด้วยตนเองเป็นศูนย์ (Zero-waste Management) ได้แก่พลังงานและน้ำเสีย (ซึ่งน้ำเสียอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานมหาวิทยาลัย) ภายใต้โครงการการบริหารขยะด้วยตนเองและได้จัดตั้ง ศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจร (CMU Integrated Biomass Management Centre)ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณมาจากส่วนกลางประมาณ 80,000,000 บาท เพื่อสร้างศูนย์บริหารจัดการชีวมวลหรือโรงกำจัดขยะทั้งระบบ ตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฝั่งเมืองแม่เหียะ ดำเนินเรื่อยมาถึงปัจจุบันโดยมีศักยภาพและความสามารถรวบรวมขยะ-ของเสียภายในมหาวิทยาลัยได้ทั้งหมด นอกจากนี้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยังได้นำขยะจากชุมชน/เมือง คือนำเข้ามาจากเทศบาลนครเชียงใหม่และเมืองแม่เหียะบางส่วนมาร่วมกำจัดด้วย ได้ทุกประเภท ยกเว้นขยะติดเชื้อทางการแพทย์ ขยะอันตราย กับขยะประเภทวัสดุก่อสร้างและโฟม ท้ายที่สุดแล้วเมื่อผ่านกระบวนการบริหารจัดการด้วยโรงกำจัดขยะชีวมวลโดยสถาบัน จะได้เป็นขยะของเสียออกมาเป็น ปุ๋ย และแปลงพลังงานทดแทน และอีกส่วนหมักเป็นก๊าซ โดยใช้การหมักฝังกลบทดแทนการเผาครบวงจร[3]

           เทคโนโลยีและนวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐานที่นำมาใช้ ได้แก่ ระบบก๊าซชีวภาพแบบหมักแห้ง ระบบผลิตก๊าซชีวภาพหมักย่อยของเสียประเภทขยะอินทรีย์ แบบแห้งและได้ก๊าซไบโอมีเทแบบอัด (CBG) ระบบก๊าซชีวภาพแบบ CMU-hybrid ระบบคัดแยกขยะ : โดยศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจรที่เกิดจากองค์ความรู้และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์มายาวนานแล้ว อย่างเช่น เทคโนโลยีก๊าซไบโอมีเทแบบอัด (CBG) ได้ถูกคิดค้นมากว่าทศวรรษในการจัดการกับมูลปศุสัตว์ กับส่วนงานอื่น ธนาคารขยะ การคัดแยกขยะ Easy Smart Meter และข้อมูลการบริหารจัดการขยะและไฟฟ้าที่ผลิตได้นำเข้าสู่ฐานเก็บข้อมูล

           1.2)  การดำเนินการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะและผลผลิตอัจฉริยะที่ส่งมอบ

                    1)  การก่อตั้งศูนย์บริหารจัดการชีวมวลครบวงจรมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และการดำเนินการจัดการขยะเป็นศูนย์ (Chiang Mai University Biomass Plant and Zero waste management)

         เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาในด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะและการจัดการของเสียเองทั้งหมดได้แบบครบวงจร (Zero Waste) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จึงได้จัดตั้ง ศูนย์บริหารจัดการชีวมวลครบวงจรมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (Biomass Plant) อยู่ภายใต้สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งแต่ประมาณปี 2561 เป็นต้นมาเพื่อจัดการขยะที่เกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยแบบครบวงจรตามภารกิจใหม่ที่ได้รับมอบหมายจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วยงบประมาณราว ๆ 80,000,000 บาทจากกล่าวถึงของพฤกษ์ อักกะรังสี (2566)

          ขยะที่เกิดขึ้นและผลิตจากภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นจำนวน 20-30 ตันต่อวัน สามารถจัดการแปรรูป โดยมีพนักงานทำความสะอาด พนักงานขนขยะและเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมการขนส่งและคัดแยกขยะของหน่วยงานดำเนินการตั้งแต่เวลา 02.00น. - 09.00 น. ผ่านการบริหารจัดการของเสียเกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยแบ่งเป็น 7 ประเภทดังนี้ ได้แก่

                  (1) ขยะที่ส่งไปกำจัด จัดการภายนอก ได้แก่

                        1.1) ขยะเศษวัสดุก่อสร้างและโฟม (Construction/Foam Waste) ขยะที่เกิดจาก ก่อสร้างและวัสดุกันกระแทกจากการจัดซื้อครุภัณฑ์  จะถูกนำส่งไปให้ทางเทศบาลกำจัด โดยการจ้างเทศบาลนครเชียงใหม่ให้นำไปกำจัดให้

                        1.2) ขยะอันตราย (Hazardous Waste) ขยะอันตราย เช่น ถ่านไฟฉาย, e-Waste นำจัดเก็บรวบรวมไว้แต่ละหน่วยงาน ส่งกำจัดไปยังภายนอกส่วนโดยจ้างบริษัทเอกชนภายนอก

                  (2) ขยะที่ยังใช้วิธีการเผาทำลายและผลิตเป็นก๊าซเรือนกระจกอยู่ ได้แก่

                        2.1) ขยะติดเชื้อ (Infectious Waste) เป็นขยะที่มาจากกระบวนการวินิจฉัยทางการแพทย์และการรักษาพยาบาล จาก เป็นต้น ขยะที่เกิดขึ้นจากการใช้ห้องน้ำซึ่งเป็นขยะที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง ถูกขนถ่ายไปยังจุดพักขยะ เพื่อนำไปทำลายที่เตาตาเผาขยะติดเชื้อของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

                  (3) ขยะที่ดำเนินการขจัดการขยะโดยศูนย์บริหารจัดการชีวมวลครบวงจร โดยเทคโนโลยีของศูนย์ฯ เพื่อลดการผลิตเป็นก๊าซเรือนกระจกโดยทดแทนการเผาทำลายหรือนำกลับมาใช้ใหม่ ได้แก่

                        3.1) ขยะทั่วไปและขยะเศษอาหาร (General Waste/Food Waste/Wet Garbage) ขยะทั่วไปที่เกิดขึ้นทั่วมหาวิทยาลัยทั้งหมด เช่น ผัก ผลไม้ ส่วนขยะเปียกที่รวมถึงถุง/ซองพลาสติกที่ใช้บรรจุอาหารโดยการรีดความร้อน รวมถึงถุงพลาติก โฟม ฟอล์ยใส่อาหาร จะถูกขนถ่ายไปยังจุดพักขยะทั่วมหาวิทยาลัย  หลังจากนั้นรถขยะของเทศบาลนครเชียงใหม่จะเก็บและขนมายังปลายทางคือขยะทั่วไปและเศษอาหารทั้งหมดได้รับการจัดการโดยศูนย์บริหารจัดการชีวมวลครบวงจรมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ฝั่งแม่เหียะ โดยใช้เทคโนโลยีเป็นระบบผลิตก๊าซชีวภาพแบบหมักแห้ง ที่รองรับมูลสัตว์หลายชนิด ในสำหรับการหมักแห้งเพื่อขยะทั่วไปและขยะเศษอาหาร ซึ่งจะเกิดเป็นน้ำเสียบางส่วนและนำไปร่วมกับเทคโนโลยีระบบผลิตก๊าซชีวภาพแบบมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU-Hybrid) เปลี่ยนแปรรูปกลายเป็นพลังงาน เป็นปุ๋ยอินทรีย์บางส่วนและเป็นพลังงานทดแทนก๊าซชีวภาพ

                        3.2) ขยะอินทรีย์ (Organic Waste) เช่น กากไขมันและน้ำมันทอดซ้ำ (ไม่นับรวมเศษอาหาร) ที่เกิดจากมหาวิทยาลัย ศูนย์อาหารหลักมหาวิทยาลัยหรือโรงอาหารตามหอพักต่าง ๆ ถูกรวบรวมไว้ที่ จุดพักขยะอินทรีย์ของแต่ละหน่วยงาน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ฯ จะทำการตักกากไขมันแยกเศษอาหารจากต้นทาง และนำกาก/คราบไขมัน และน้ำมันทอดซ้ำ ขนมายังศูนย์บริหารจัดการชีวมวลครบวงจรเพื่อจัดการโดยกระบวนการปฏิกิริยาทราน์เอสเทอริฟิเคชั่น (Transesterification) ร่วมกับเมทานอล ได้ออกมาเป็น ไบโอดีเซลกับกลีเซรอล ด้วยเครื่อง CMU-2 กำลังการผลิต 200 ลิตร ต่อวัน สามารถใช้แทนน้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างน้ำมันดีเซลตั้งแต่ 5% - 100%

                        3.3) ขยะชีวมวล (Biomass Waste) ได้แก่ เศษไม้ ใบหญ้า ส่งเข้าศูนย์บริหารจัดการชีวมวลฯ แปรรูปเป็น ถ่านชีวภาพ และผ่านกระบวนการไพโรไลซิส (Pyrolysis Process) กลายเป็น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ไฮโดรคาร์บอน และอื่นๆ , น้ำส้มควันไม้หรือน้ำมันชีวภาพ (Bio-Oil) และถ่านชีวภาพ (Biochar) ในปริมาณ 25-30% ของปริมาณชีวมวลโดยน้ำหนัก ถ่านชีวภาพสามารถกลายเป็นปุ๋ยในการปรับปรุงดินโดยตรง (Bio-Char) สามารถแปรรูปอีกขั้น เป็น ถ่านกัมมันต์ (Activated Carbon) แลพผ่านเครื่องอัดเม็ดเป็นถ่านชีวภาพอัดเม็ดใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนหรือร่วมกับถ่านหิน ถ่านชีวภาพสามารถให้พลังงานสูงเทียบเท่าถ่านหินลิกไนต์

                        3.4) ขยะรีไซเคิล (Recycled Waste) เช่น กระป๋องอลูมิเนียม เศษพลาสติก กระดาษ โดยหน่วยงาน/คณะต่างๆ ภายในคัดแยกเข้าโครงการธนาคารขยะ (Recyclable Waste Bank Project) หรือนำไปจำหน่ายเองเป็นรายได้แต่ละคณะ/หน่วยงาน เพื่อนำขยะรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่แทนที่การผลิตใหม่ ผ่านการคัดแยกและเก็บรวบรวมขยะรีไซเคิล[5]

          โดยสามารถการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งมหาวิทยาลัยฯ ลงจากจำนวน 5,678.55 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือคิดเป็นสัดส่วน 16.68% จากทั้งหมด ( ได้แก่ 1. RDF-1,3 ของเสียจากขยะรีไซเคิลผ่านการจัดการและนำกลับมาใช้สามารถลดได้ 3,341.92 TonCO2-eq 2.ของเสียอินทรีย์และมูลสัตว์ที่ผ่านศูนย์บริหารจัดการชีวมวลครบวงจรสามารถลดได้ 2,181.04 TonCO2-eq 3. พลังงานก๊าซชีวภาพ สามารถลดได้ 75.63  TonCO2-eq และ 4. การนำขยะกลับมาใช้สร้างถนน Street Furniture, Asphaltic สามารถลดได้ 17.59 TonCO2-eq , TonCO2-eq คือ ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า)[6]

          ในส่วนของกระบวนการจัดการขยะของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จะมีการคัดแยกขยะจากคณะและหน่วยงานต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัย มีการเตรียมถังสีต่าง ๆ 4 สี ได้แก่ถังขยะสีน้ำเงิน (ขยะทั่วไป) สีแดง (ขยะอันตราย) สีเหลือง (ขยะรีไซเคิล) และสีเขียว (ขยะอินทรีย์) เป็นการคัดแยกเบื้องต้น โดยขยะรีไซเคิลจะถูกจำหน่ายไปก่อนหน้าหรือเข้าสู่โครงการธนาคารขยะ ทำให้เหลือเพียง ขยะอินทรีย์ ที่เป็น เศษพืชผัก, มูลสัตว์, เศษอาหารเปียกจะเข้าสู่ไปกระบวนการผลิตก๊าซชีวภาพหมักย่อยแบบแห้ง ผลิตเป็นพลังงานออกมาไฟฟ้าไว้ใช้ในศูนย์ฯ และผลิตเป็นก๊าซไบโอมีเทแบบอัด (CBG) สำหรับนำไปใช้กับรถตู้ที่ใช้ในด้านการพัฒนาการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะที่นอกเหนือจากรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายสีม่วง อีกส่วนคือกากไขมันได้จากการกำจัดเศษอาหารเศษจะผลิตเป็นไบโอดีเซล ส่วนเศษพลาสติกบางส่วนนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะมูลฝอย (Refuse Derived Fuel: RDF) และใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตยางมะตอยกับอิฐบล็อกเพื่อปูพื้นหรือนำมาสร้างถนน ขณะที่ส่วนสุดท้ายขยะชีวมวล เช่น เศษใบไม้ กิ่งไม้แห้ง ดอกไม้แห้ง จะใช้กระบวนการไพโรไลซิส (Pyrolysis) ผลิตออกมาเป็นถ่านชีวภาพ เชื้อเพลิงเขียว หรือทำเป็นปุ๋ย[7]

         นอกจากนี้ ในการดำเนินงานด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการบริหารจัดการของเสียด้านประเภทขยะ (Waste/Garbage) ที่ได้จัดการภายในให้เป็นศูนย์ (Zero Waste) แม้นในความจริงด้วยเทคโนโลยีและความสามารถของมหาวิทยาลัยยังไม่สามารถจัดการให้เป็นศูนย์แบบสัมบูรณ์ได้ก็ตาม ยังคงเหลือขยะ 3 ประเภท ได้แก่ 1) ขยะติดเชื้อที่เกิดจากกระบวนการทางการแพทย์ทั้งที่มาจากโรงพยาบาลหรือศูนย์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ไผ่ล้อม) และอื่น ๆ ทางมหาวิทยาลัยยังคงต้องใช้การเผาและก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนอยู่ 2)ขยะอันตราย ที่ส่งไปให้กับบริษัทหรือหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตในการกำจัดขยะ และ3) ขยะเศษวัสดุก่อสร้างและโฟม ส่งไปให้กับเทศบาลกำจัด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระบวนการบริหารจัดการดังกล่าวก่อให้เกิดการจัดการและจำแนกคัดแยกขยะ นำกลับมาใช้ใหม่ และจัดการขยะประเภททั่วไป ขยะเปียก ขยะรีไซเคิล ขยะอินทรีย์และขยะชีวมวลได้ทั้งหมด จากเทคโนโลยีที่มีโดยยังได้ดำเนินการนำขยะประเภทขยะเปียก (Food/Organic Waste/Wet Garbage) และขยะขยะชีวมวล (Biomass Waste) [8]

                     2)  การบำบัดน้ำเสียภายในมหาวิทยาลัย (Water Waste to Zero Waste Management)

                    ตามผังแม่บทในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะมีการกำหนดวาระการวางแผนการก่อสร้างหน่วยบำบัดน้ำเสียเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่งเป็น 2+1 แห่ง บริเวณฝั่งเชิงดอยสุเทพตามตารางที่ 32. ปัจจุบันในปี 2024 หน่วยบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ตามภาพ . ถูกสร้างแล้วเสร็จอยู่ติดกับอาคารศูนย์กลางขนส่งมวลชนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

รูปภาพประกอบด้วย กลางแจ้ง, ท้องฟ้า, ต้นไม้, เมฆ

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 1. แสดงหน่วยบำบัดน้ำแห่งใหม่หน่วยที่ 3 ฝั่งเชิงดอยสุดเทพ

(ที่มา : ภาพถ่ายสร้างโดยผู้เขียน, 22 ธ.ค. 2567)

          หน่วยงานผู้ขับเคลื่อนสนับสนุนในด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ เฉพาะในด้านการจัดการน้ำเสีย คือ สำนักงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเมื่อมีการนำนโยบายเมืองอัจฉริยะมาปฏิบัติ มหาวิทยาลัยมีความพร้อมในการจัดทำได้โครงสร้างพื้นฐานไว้รองรับ โดยมีการดำเนินงานตามผังแม่บทการพัฒนาการวิทยาลัยอัจฉริยะ ตั้งแต่ก่อนการนำนโยบายมาปฏิบัติแล้วตารางที่ 31.

          ส่งผลให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่สามารถมีกระบวนการบำบัดน้ำเสียของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพิ่มเป็นจาก 2 แห่ง เป็น 3 แห่ง ทำให้มีศักยภาพในการรองรับการบำบัดน้ำเสียภายในเพิ่มขึ้น สำหรับการพัฒนาและจัดการด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะครอบคลุมทุกพื้นที่ได้แก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ฝั่งเชิงดอยสุเทพ บริเวณติดกับขนขส่งมวลชนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นแห่งล่าสุดที่มีการดำเนินการก่อสร้าง ฝั่งสวนดอกและฝั่งเมืองแม่เหียะ โดยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบและดำเนินการ คือ หน่วยกําจัดน้ำเสีย งานบริการสาธารณูปการและซ่อมบํารุง กองอาคารสถานที่และสาธารณูปการ สำนักงานมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมีขีดความสามารถในบริหารจัดการกำจัดน้ำเสียได้เองทั้งหมดโดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษและเป็นไปตามค่าคุณภาพน้ำที่มีคุณภาพตามค่า BOD (Biochemical Oxygen Demand) อยู่ระหว่าง 2-10 สูงกว่าค่ามาตรฐานที่ค่า BOD 20 ซึ่งบ่งชี้ถึงคุณภาพของน้ำก่อนที่ ปล่อยสู่ชุมชนภายนอกในบางส่วนและนำกลับมาใช้ใหม่ในบางส่วน[9]

       มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีเทคโนโลยีที่ใช้คือ ระบบ “Activated Sludge (AS)” เป็นการใช้จุลินทรีย์ตามธรรมชาติในการย่อยสลายของเสียในน้ำให้เกิดความสะอาดขึ้นโดยใช้เวลาเพียง 6 ถึง 8 ชั่วโมงเท่านั้น ในกระบวนการกำบัดเริ่มต้น 7 ขั้นตอน 1) ตะแกรงดักขยะ น้ำเสียจะสู่ตะแกรงเพื่อแยกขยะออกจากน้ำเสียจากนั้นเข้าสู่ 2) บ่อปรับสภาพ เป็นการปรับสภาพน้ำเบื้องต้นก่อนเข้าสู่การบำบัด และ 3) รางดักทราย แยกกรวดและทรายออกจากน้ำเสีย หลังจากนั้นน้ำเสียจะเข้าสู่ 4) บ่อเติมอากาศ เพิ่มออกซิเจนให้กับจุลินทรีย์ ในการย่อยสลายสารอินทรีย์จากน้ำเสีย โดยจุลินทรีย์ที่ตานจะกลายเป็นตะกอนที่ลอยอยู่ในน้ำ เพื่อเข้าสู่ 5) บ่อตกตะกอน แยกตะกอนจุลินทรีย์ออกจากน้ำเสียในบ่อตกตะกอนจมลงสู่ก้นบ่อบำบัดทำให้น้ำเริ่มใส ตะกอนบางส่วนนำมาบีบอัดเพื่อทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้ในพื้นที่มหาวิทยาลัยหรือเติมกลับไปในกระบวนการบำบัดอีกครั้งเพื่อเป็นหัวเชื้อจุลินทรีย์ 6) บ่อคลอรีน เติมสารคลอรีน (Chlorine) ลงในน้ำที่กำลังบำบัดเพื่อฆ่าเชื้อโรคในน้ำ และเข้าสู่บ่อพักเพื่อให้คลอรีนระเหยออกกลายเป็นน้ำสะอาดที่กลับมาใช้ได้ จากนั้นจะมีการ 7) การตรวจค่า BOD (Biochemical Oxygen Demand) เป็นค่าที่ใช้ชี้วัดคุณภาพน้ำตามที่กฎหมายกำหนดไม่ให้เกนค่า BOD ที่ 20 ส่วนน้ำที่บำบัดจากกระบวนการในหน่วยบำบัดของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ออกมาสู่การบำบัดเสร็จสิ้นแล้วจะมีค่า BOD อยู่ที่ 2-10 และไม่ก่อให้เกิดมลภาวะในกระบวนการบำบัดน้ำเกิดขึ้น

                    3) การอนุรักษ์พื้นที่สีเขียวและปรับปรุงภูมิทัศน์ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

                    ผู้นำท่านหนึ่งระบุว่า ผลจากในด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะมหาวิทยาลัยมีการในด้านภูมิทัศน์ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องในช่วง 8 - 10 ปี ที่ผ่านมาตั้งแต่ก่อนที่มหาวิทยาลัยจะนำนโยบายสมาร์ต ซิตี้มาปฏิบัติแล้ว โดยได้ผ่านการคิด ออกแบบ และวางแผนไปสู่การทำเป็นผังแม่บท และจากผังแม่บทการพัฒนามหาวิทยาลัยเชียงใหม่อัจฉริยะมีแนวคิดเรื่องการพัฒนาภูมิทัศน์ให้เกิดความร่มรื่น ร่มเย็น และน่าอยู่และพื้นที่สีเขียวเป็นเครือข่ายพื้นที่สีเขียว (Green Network Area) สร้างแหล่งกักเก็บน้ำ ซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องเมื่อมหาวิทยาลัยได้นำนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะมาปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน       จากพื้นที่แยกขาดออกจากกันและรกล้าง เป็นป่าทึบ ไม่สวยงาม ได้รับการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานและในด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ ก่อให้เกิดการการวางแผน วางผังที่ผ่านกระบวนการคิด ทบทวนซ้ำและนำไปสู่การพัฒนา ให้พื้นที่ที่แยกขาดกันได้รับการพัฒนาให้เชื่อมโยงติดต่อกัน พื้นที่รกล้างได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้สวยงาม มีแสงสว่าง และมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินและสร้างความเชื่อมั่นปลอดภัยให้ นักศึกษาบุคลากร และประชาชนในมหาวิททยาลัย และภูมิทัศน์ในบางพื้นที่ ที่ไม่ได้รับการดูแลถูกพัฒนาให้เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ บางแหล่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือแลนด์มาร์กแห่งใหม่ สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ ออกกำลังกายหรือกิจกรรมสันนาการ เช่น ลานสังคีต แต่ก่อนไม่เคยมีคนใช้และเข้าถึง กลายเป็นมีคนเข้าไปในพื้นที่ หลายร้อยคนต่อวัน และใช้เป็นสถานที่ทำกิจกรรม เช่น ดนตรี เวทีจัดกิจกรรมต่าง เป็นต้น  มีการสร้างสวนสาธารณะและพยายามเพิ่มพื้นที่การปลูกต้นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กเพื่อความสวยงาม โดยนำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดมาใช้ใหม่รดต้นไม้ ซึ่งการอนุรักษ์พื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้นให้เป็นไปตามเกณฑ์สากล 40 ตร.ม.ต่อคนมากกว่า 40% ของพื้นที่มหาวิทยาลัย ตามภาพ .

รูปภาพประกอบด้วย กลางแจ้ง, ถนน, ท้องฟ้า, รถยนต์

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ . แสดงการสร้างอ่างเก็บน้ำแหล่งใหม่ อ่างตาดชมพู และลานควายยิ้มถูกปรับปรุงให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและทำกิจกรรมต่าง ๆ จากเดิมพื้นที่ไม่ได้ถูกนำใช้ประโยชน์

(ที่มา : ภาพถ่ายสร้างโดยผู้เขียน, 22 ธ.ค., 2567)

                    4) การบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโครงการ SODU สำหรับการก้าวเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (Carbon Neutral University) โดยมีหน้าที่ตั้งแต่การบริหารจัดการ การติดต่อประสานงาน การกำกับติดตามการทำงานของโครงการให้เป็นไปตามแผนงาน การประเมิณผลสัมฤทธิ์ของโครงการ การตลอดจนการจัดทำฐานข้อมูลของนักวิจัย

                    ตามแผนพัฒนาการศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ระยะที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) มีเป้าหมายด้านยุทธศาสตร์ในด้านการผลักดันให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral University) ภายในปี พ.ศ. 2593 โครงการนี้จึงมีเป้าหมายในการขอเสนอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อการบริหารจัดการโครงการ SODU เพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การก้าวเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนเกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมุ่งเน้นให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งกำเนิด (Source) และการชดเชยและกักเก็บคาร์บอน เพิ่มแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Sink) ปลูกป่า การจัดการน้ำและทรัพยากรธรรมชาติ การอบรมบุคลากรและสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก และการบริหารจัดการคาร์บอนภายในหน่วยงานด้วยข้อมูล และก่อให้เกิดแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อการลงทุน ที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศและควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้น ความก้าวหน้าของโครงการในเดือนตุลาคม 2023 อยู่ที่ 40%[10],[11]

5) การจัดทำฐานข้อมูลและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์คาร์บอนของ  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (Carbon Landscape, CMU) ด้วยงบประมาณ 480000

          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ดำเนินโครงการการจัดทำฐานข้อมูลและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์คาร์บอน ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (Carbon Landscape, CMU) เพื่อมุ่งบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอนภายในให้มีประสิทธิภาพ ด้วยงบประมาณ 4,800,000 บาท โดยให้แต่ละหน่วยงาน/องค์กรย่อยไปดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นหลายข้อมูลหลายชั้นมารวมกัน และได้ค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละที่มารวมกัน บนแพลตฟอร์มก๊าซเรือนกระจก[12] นำมาสู่ฐานข้อมูลใหญ่ฐานเดียวกันแบบเรียลไทม์ สำหรับนำไปบริหารจัดการ ติดตาม ตระหนักได้และแสดงค่าเกิดขึ้นได้ ทั้งองค์กรและองค์การ เพื่อถมุ่งเพิ่มบริสิทธิภาพในการบริหารจัดการและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยใช้ข้อมูลขับเคลื่อน (Data-Driven)

          โดยมีการดำเนินงานในปีแรกสุดจากโครงการดังกล่าว มีการจัดตั้งทีมในการสำรวจพื้นที่และวางแผนในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้งทางฝั่งเชิงดอยสุเทพและสวนดอก แม่เหียะ รวมถึงในพื้นที่หริภุญไชย และสมุทรสาคร หลังจากนั้นจะทำการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจก และพื้นที่สีเขียวที่ช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนาเป็นพัฒนาแพลตฟอร์ม Web-based เพื่อการเห็นข้อมูลและตัวเลขแบบเรียลไทม์ ทำให้หน่วยงาน/ส่วนงานภายใน สามารถติดตามและประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองได้อย่างมีข้อมูลที่แสดงปรากฎออกมา เห็นและเข้าใจได้ง่ายขึ้น และนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับใช้ในการวางแผนและบริหารจัดการภายในหน่วยงานตนเองเพื่อลดการปล่อยก๊าซได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดทำในปี 2024 ทั้งนี้เป็นไปตามตอบสนองที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 70% ภายในปี 2570 และตั้งเป้าหมายบรรลุการเป็นมหาวิทยาลัยปลอดคาร์บอน (Carbon Neutral) อย่างสมบูรณ์ภายในปี 2032[13] ตามวาระยุทธศาสตร์ A2

                    5) โครงการการนำขยะพลาสติก สร้างถนนต้นแบบจากขยะพลาสติก และโครงการการใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกและวัสดุทางเลือกในการศึกษาถนนอย่างยั่งยืนระยะที่ 1 ด้วยงบประมาณโครงการ 10,500,000 บาท

                    มหาวิทยาลัยได้คิดค้นวิจัยและพัฒนาการนำขยะพลาสติกที่ไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการการรีไซเคิลได้จากการแยกขยะเพื่อนำไปกำจัด หลังจากนั้นภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงคิดค้น การพัฒนางานวิจัยการเพิ่มความแข็งแรงของถนน ที่สร้างขึ้นมาจากยางมะตอยผสมกับขยะประเภทพลาสติกและการแปลงสภาพของขยะพลาสติกที่มีคุณสมบัติ Thermoplastic เพื่อช่วยลดปริมาณขยะรวมถึงลดค่าใช้จ่ายในการสร้างถนนได้อีกด้วย จึงเกิดเป็นถนนต้นแบบ ที่สร้างจากขยะผสมยางมะตอย สามารถใช้งานได้จริงรองรับต่อการเสียดสีได้ในระยะ 7-8 ปี โดยที่ได้มาตรฐานทางวิศวกรรมจากกรมทางหลวงชนบท และกรมทางหลวง เป็นถนนสาธารณะที่ทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เปิดให้ชุมชนโดยรอบได้ใช้สัญจร ตั้งอยู่ ณ บริเวณ ศูนย์วิจัย สาธิตและฝึกอบรมการเกษตรแม่เหียะ ล่าสุดได้มีโครงการการใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกและวัสดุทางเลือกในการศึกษาถนนอย่างยั่งยืน ได้มีการดำเนินการก่อสร้างถนนทำจากขยะพลาสติกได้แก่ ถนนในซอยสำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมีแผนดำเนินการสร้างถนนในพื้นที่ของโครงการ MORe SPACE[14]

          การดำเนินการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะและผลผลิตอัจฉริยะที่ส่งมอบอื่น ๆ เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เข้าไปร่วมหน่วยงานภายนอกและเทศบาลนครเชียงใหม่ในการพัฒนาฟื้นฟูคลองแม่ข่า โดยมีการทำเป็นแผนแม่บทการพัฒนา ร่วมกับเครือข่ายประชาชนในพื้นที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ส่งตัวแทนที่เป็นอาจารย์ได้แก่ รศ.ชูโชค อายุพงศ์ ไปสนับสนุนนั่งเป็นประธานคณะทำงานศูนย์วิชาการสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อร่วมกันปรับปรุงภูมิทัศน์ และทำให้ปริมาณน้ำดีที่ไหลในคลองมากกว่า 1 ลบ.ม./วินาที พร้อมกับการบำบัดน้ำเสียให้เกิดขึ้นซึ่งผลประโยชน์จะตกแก่เทศบาลนครเชียงใหม่ ประชาชนและชุมชนในนครเชียงใหม่[15]

           1.3)  ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ

                     1.3.1) ด้านการบริหารจัดการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก (GHG Emissions) : ช่วงก่อนการนำนโยบายมาปฏิบัติในปี 2562 ปล่อยก๊าซคาร์บอน 53,668 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า  ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ 19.8%  กิจกรรมที่ลดการปล่อยคาร์บอนได้ดีที่สุดคือ Carbon Sink กับกิจกรรมการคัดแยก รีไซเคิลขยะกลับมาใช้ใหม่ ต่อมาเมื่อมารนำนโยบายมาปฏิบัติและพัฒนาด้าน Smart Energy และ Smart Environment พร้อมกับดำเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่ 2 ความเป็นกลางทางคาร์บอน (ปัจจุบันเป็นแผนปฏิบัติการที่ 2 การส่งเสริมการสร้างต้นแบบนวัตกรรมบนฐานความเชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัย) ต่อมาในปี 2023 ปล่อยก๊าซคาร์บอน 46,252 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ 36.6% ในปี 2567 ปล่อยก๊าซคาร์บอน 44,649 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ 39.9% กิจกรรมที่ลดการปล่อยคาร์บอนได้ดีที่สุดคือ Carbon Sink โดยมีการติดตั้ง Solar Rooftop แทนการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล 8,000 และ 9,996 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าตามลำดับ267

          ในปี 2568 (1 ม.ค. – 15 พ.ค.) กิจกรรมที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด จาก 12,578 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า   ได้แก่ แหล่งกักเก็บคาร์บอน (Carbon Sink) 30.65% โซลารูฟท็อป (Solar Roof) รวม 25 MW 28.97% การดำเนินการด้านการซ่อมบำรุง เปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน 20.66% และกิจกรรมการคัดแยก รีไซเคิลขยะกลับมาใช้ใหม่ 14.74% ตารางที่ 6. แบ่งเป็นการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) 51.56%  การพัฒนาด้านพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) 31.3% และ การพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) 2.6%

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ภาพหน้าจอ, จำนวน, ขนาน

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 2. แสดงปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก BAU ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปี 2019-2032

(ที่มา : [16])

          โดยการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะก่อให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ กิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ แหล่งกักเก็บคาร์บอน (Carbon Sink) การติดตั้งโซลารูฟท็อป (Solar Roof) รวม 25 MW ทดแทนการนำเข้าพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล การคัดแยกขยะและนำกลับมาใช้ใหม่ และการจัดการของเสียอินทรีย์และมูลสัตว์ที่ผ่านศูนย์บริหารจัดการชีวมวล ด้วยการหมักแห้งและCMU-Hybrid ตามลำดั  และการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะก่อให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สัดส่วนสูงที่สุด 2.21% แบ่งตามกิจกรรม/ผลผลิตอัจฉริยะที่ส่องมอบสูงสุดได้แก่ แหล่งกักเก็บคาร์บอน (Carbon Sink) การติดตั้งโซลารูฟท็อป (Solar Roof) รวม 25 MW ทดแทนการนำเข้าพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล การคัดแยกขยะและนำกลับมาใช้ใหม่ และการจัดการของเสียอินทรีย์และมูลสัตว์ที่ผ่านศูนย์บริหารจัดการชีวมวล ด้วยการหมักแห้งและ CMU-Hybrid ตามลำดับ เปลี่ยนหลอดไฟเป็น LED บำรุงเครื่องปรับอากาศ เปลี่ยนแอร์ประสิทธิภาพสูง Smart Boiler ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะด้วยรถม่วงไฟฟ้า Ev-Personal เป็นต้น

ตารางที่ 1. แสดงปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ มช. ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 15 พ.ค. ปี 2568

ที่

กิจกรรมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปี 2024

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

คิดเป็นสัดส่วนเปอร์เซ็นต์
(จาก
100%)

การพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment)

51.56%

1

แหล่งกักเก็บคาร์บอน (Carbon Sink)

3,854.79

30.65%

ดำเนินการโดย ศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจร สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์

14.74%

2

ของเสียอินทรีย์และมูลสัตว์ที่ผ่านศูนย์บริหารจัดการชีวมวล ด้วยการหมักแห้งและ CMU-Hybrid

733.88

 

 

14.74%

3

การคัดแยกขยะและนำกลับมาใช้ใหม่ RDF-1,3

1,073.10

4

พลังงานก๊าซชีวภาพ (Biogas Power)

39.65

5

การสร้างถนนจากขยะพลาสติก (Asphaltic)

7.34

การพัฒนาด้านพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy)

 

31.3%

ดำเนินการโดยโครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ต่าง ๆ (Solar Cell) เสร็จสิ้นแล้ว

6

โซลารูฟท็อป (Solar Roof) รวม 25 MW

3,642.96

28.97%

7

โครงการ Agrovoltaic Energy (422 GJ/ปี)

53.97

0.43%

8

เครื่องทำน้ำอุ่นจากพลังงานแสงอาทิตย์

238.63

1.90%

การดำเนินการด้านการซ่อมบำรุง เปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน

10.10%

9

เปลี่ยนหลอดไฟเป็น LED

930.29

 

 

 

 

20.66%

10

บำรุงเครื่องปรับอากาศ

538.20

11

เปลี่ยนแอร์ประสิทธิภาพสูง

559.86

12

Smart Boiler

122.99

13

Chiller (Medicine)

346.56

14

Energy Storage

100.96

การพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility)

2.6%

15

ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะด้วยรถม่วงไฟฟ้า

279.01

2.22%

16

Electric Vehicle car Centralized Car Management

33.04

0.26%

17

นโยบาย Electric Vehicle สำหรับยานยนต์ใหม่

9.55

0.08%

18

Ev-Personal

11.01

0.09%

รวม (ข้อมูล ณ 1 ม.ค. – 17 : 12.05น.)

12,575.8 (17.49%)

100%

ที่มา. *ข้อมูลแบบเรียลไทม์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-15 พฤษศจิกายน 2567. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). หน้าแรก (การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งมหาวิทยาลัยฯ ปี 2567, 1 .ค – 15 พ.ค. 2567). สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, เข้าถึง 15 พ.ค., 2567, 03:40:10 GMT+0700 (Indochina Time), https://cmu.to/3fQX8

          และมีการนำข้อมูลแบบเรียลไทม์ และพยายามเก็บรวบรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์จากหน่วยงานและส่วนงานภายในเกิดขึ้นต่อเนื่อง เพื่อนำมาบริหารจัดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นจากก่อนหน้าที่ปราศจากข้อมูลแบบเรียลไทม์ตามภาพ .

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ภาพหน้าจอ, ต้นไม้, นามบัตร

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 3. แสดงการข้อมูลแบบเรียลไทม์ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ถึง 15 พ.ค. 2568 เพื่อบริหารจัดการ
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
, หน่วย tCO2-eq

(ที่มา :[17])

                      1.3.2)  ด้านการบริหารจัดการขยะ-ของเสียภายในครบวงจร : ในด้านขยะมูลฝอย เมื่อมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เริ่มก่อสร้างศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจรแล้วในปี 2018 ส่งผลให้กิจกรรมในการกำจัดขยะอันก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงจาก 11,091 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี 2560 ลดลงมาอย่างก้าวกระโดดที่ 5,649 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งคาดการ์ณ์ว่าโครงการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแล้วเสร็จ ซึ่งมีการเก็บข้อมูลในช่วงกลางๆ ปี และในปี 2562 น่าจะมีการนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนแบบครบทั้งปี ได้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ 1,148 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ต่อเนื่องมาถึงปี 2567 ที่ 730 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งบ่งชี้ว่ากระบวนการจัดการขยะและแนวคิดการจัดการของเสียในด้านขยะด้วยตนเองแบบครบวงจรมีผลต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากพอสมควร ซึ่งในการบริหารดังกล่าวมีการคัดแยกขยะ และนำไปสู่การฝังกลบ ในเทคโนโลยีสู่กระบวนการผลิตก๊าซชีวภาพหมักย่อยแบบแห้ง ซึ่งได้พลังงานมาเป็นผลรองที่ตามมา อยู่ในปัจจุบันราว ๆ 967-801ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าจากก่อนการพัฒนาด้านขยะและสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะจากเดิมประมาณ 10,000 ตัน หรือ ลดได้ 10 เท่า เนื่องจากขยะบางส่วนยังคงใช้วิธีการเผาขยะอยู่ นำมาสู่การเกิดก๊าซเรือนกระจก ในขยะประเภทติดเชื้อทางการแพทย์และทันตแพทย์จำเป็นต้องใช้การเผาทำลายเพื่อฆ่าเชื้อโรค ตามวิธีการที่เทคโนโลยีนวัตกรรมที่มหาวิทยาลัยทำได้

        ในอีกทางนอกจากโครงการธนาคารขยะแล้ว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้จัดทำโครงการ ช้าง ช่าง แยกในปีเดียวกัน โดยจัดกิจกรรมสร้างจิตสำนึกให้นักศึกษาและบุคลากรในคณะและหน่วยงานต่างๆ คัดแยกขยะ นำถังขยะสีต่างๆ มาให้ผู้ทิ้งขยะคัดแยกเบื้องต้นก่อนนำไปกำจัดที่ศูนย์ฯ ในอดีตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ผลิตและมีขยะเกิดขึ้นราว ๆ วันละ 20 ต้น หรือ 7,300 ตันต่อปี ส่งผลให้มหาวิทยาลัยผลักดันนโยบาย พลังงานทดแทนและรักษาสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจร[18] นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังมีการคัดแยกขยะก่อนนำไปสู่กระบวนการจัดการกำจัดออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้แก่ ขยะทั่วไปและอินทรีย์ กิ่งไม้สู่การไพโรไลซิสออกมาเป็นปุ๋ย ขยะอินทรีย์หมักย่อย, ขยะรีไซเคิลนำไปจำหน่ายนำกลับมาใช้ใหม่, ขยะอันตรายและติดเชื้อคณะแพทย์ฯ ถูกส่งออกไปภายนอกและเผากำจัด และขยะโฟมและวัสดุก่อสร้างส่งไปยังเทศบาล และเกิดโครงการธนาคารช้างช่างแยกเพื่อแยกขยะ

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ภาพหน้าจอ, ตัวอักษร, แผนภาพ

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 4. แสดงปริมาณการคัดแยกขยะเพื่อดำเนินการกำจัดขยะโดยศูนย์ชีวิมวลครบวงจร มช.

(ที่มา : สร้างโดยผู้วัย และ [19])

          ตามภาพ . (บน) มีการคัดแยกขยะปี 2567 ที่นำขยะมาจากเทศบาลเมืองแม่เหียะ (7.6%) และเทศบาลนครเชียงใหม่ (12.1%) มาร่วมกำจัดในศูนย์บริหารจัดการชีวมวล สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เหลือเป็นขยะรวมกับเศษอาหารที่สร้างขึ้น 1,734 ตันต่อปี โดยขยะรีไซเคิลที่คัดแยกได้ 1.64 เมตริกตัน ขยะรีไซเคิลที่คัดแยกได้จากหอพัก 23.55 เมตริกตัน และขยะรีไซเคิลที่คัดแยกได้จากธนาคารขยะ 9.42 เมตริกตัน ขยะส่งฝังกลบ 55.10 เมตริกตัน และขยะที่เจ้าสู่กระบวนการ RDF-1 953.75 เมตริกตันที่ขยะที่สามารถบริหารจัดการได้ในศูนย์บริหารจัดการชีวมวล สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์

          1.3.3)  ด้านการบริหารจัดการน้ำเสียพร้อมการบำบัด : โดยปัจจุบันมหาวิทยาลัยมีประมาณน้ำเสียเฉลี่ยที่เกิดขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 7,090,000 ลิตรต่อวันแบ่งเป็น หน่วยบำบัดน้ำแห่งที่ 1 ฝั่งสวนดอกรองรับน้ำเสียเฉลี่ยที่เกิดขึ้น 4,500,000 ลิตรต่อวัน หน่วยบำบัดน้ำแห่งที่ 2  ฝั่งแม่เหียะรองรับน้ำเสียที่เกิดขึ้นเฉลี่ย 90,000,000 ลิตรต่อวัน และฝั่งเชิงดอยสุเทพที่สร้างขึ้นแห่งใหม่ล่าสุดแล้วเสร็จในปี 2563 รองรับน้ำเสียที่เกิดขึ้นเฉลี่ย 1,500,000 ลิตรต่อวัน[20]  โดยมีศักยภาพในการรองรับและมีกระบวนการในบัดน้ำเสียได้สูงสุด (Capacity Maximum) 21,750,000 ต่อวัน[21]  คิดเป็นการใช้งานเฉลี่ย 32.59% จากความสามารถสูงสุดต่อวัน และมีการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำตาดชมพูเพิ่มอีก 1 แห่ง สามารถจุน้ำปริมาณ 100,000 ลูกบาศก์เมตร รับน้ำจากห้วยตาดชมพูที่ติดกับมหาวิทยาลัยเพื่อความมั่นคงด้านทรัพยากร

          1.3.4)  ด้านพื้นที่สีเขียวและการปรับปรุงภูมิทัศน์ : มหาวิทยาลัยมีความพยายามอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่เดิมและปลูกเพิ่มเติมเพื่อสร้างความร่วมรื่น โดยช่วยลดอุณหภูมิได้ราว ๆ 1-2 องศาสำหรับอาคารที่มีต้นไม้ใหญ่ ซึ่งช่วยให้เกิดสภาพแวดล้อมความน่าอยู่ สบายตาเป็นธรรมชาติโดย มีค่าเกณฑ์พื้นที่สีเขียวในพื้นที่มหาวิทยาลัย ที่สูงกว่าเกินค่ามาตราฐานมากกว่า 40 ตารางเมตรต่อคน และมากกว่าพื้นที่ 40% ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่    ในด้านภูมิทัศน์มหาวิทยาลัยพยายามสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าถึงได้ และปรับปรุงภูมิทัศน์ต่อเนื่อง เพื่อเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ สันทนาการและออกกำลังกาย เช่น ลานควายยิ้ม อ่างเก็บน้ำตาดชมพู สวนปาล์ม MORe Space-ไร่ฟอร์ด เป็นต้น

            การพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมทำให้ มหาวิทยาลัย สามารถจัดการของเสียครบแบบวงจรด้วยตนเอง (น้ำ ขยะ)บริหารจัดการและพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ตั้งแต่การลดการปล่อยก๊าซ CO2 จัดการของเสียครบแบบวงจร จัดการน้ำ ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและภัยพิบัติ และขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมให้เกิดแก่ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร เพิ่มและรักษาพื้นที่สีเขียว การดำเนินงานภายในต่าง ๆ ลดการสร้างมลพิษให้แก่ชุมชนอย่างรับผิดชอบต่อสังคม และบรรลุกลายเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ในปี 2032

           1.4)  ผลความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ

         จากการรับรู้และการสัมผัสตามประสบการณ์โดยตรงของบรรดาผู้นำนักศึกษา ฐานะกลุ่มเป้าหมายสำคัญในโครงการ CMU Smart City ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลและรับบริการโดยตรงจากการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) โดยได้แสดงทัศนคติความคิดเห็นเอาไว้ ดังต่อไปนี้

“...หนูคิดว่ามันยังไม่สำเร็จขนาดนั้น อยู่ในระดับกึ่งกลางละกัน ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็เห็นว่าทางมหาวิทยาลัยพยายามผลักดันเรื่องนี้อยู่ รวมถึงกิจกรรมที่จัดขึ้นด้วย เรื่อง รับน้องขึ้นดอยเรื่องที่เขาชูว่าจะทำคาร์บอนเป็นศูนย์ ซึ่งจริงๆ แล้วเราหนูก็เพิ่งเคยเห็นเขากำลังจะผลักดันเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่เหมือนมีมาสักพักแล้ว เหมือนกลายเป็นพยายามที่จะทำ แล้วก่อนหน้านั้นเขาก็พยายามพัฒนาเรื่องสิ่งแวดล้อม เช่น ลดมลพิษ ลดไฟฟ้า ก็ถือว่าอยู่ในระดับกึ่งกลางถ้าเต็ม 10 หนูก็ให้ 5...”[22]

“...ตามที่หนูเห็น หนูก็รู้สึกว่า ด้านสิ่งแวดล้อมมันก็พัฒนาดีขึ้นตามแบบตามลำดับ ตามแต่ละปี ตั้งแต่หนูอยู่ปี 1 ถึง ปี 3 ก็เห็นว่าทางมหาวิทยาลัยเขาทำเรื่องการแยกขยะอะไรแบบนี้ดีขึ้น พวกพื้นที่สีเขียว ก็รู้สึกว่าทางมหาวิทยาลัยของเรา มันเป็นมหาวิทยาลัยที่มีต้นไม้เยอะ หนูก็ชอบ เพราะมันทำให้เย็นขึ้น อย่างขับรถตอนกลางวันมันก็ไม่ได้มีแดดแบบแรงมาก...”[23]

“...ผมว่า อย่างเรื่อง คาร์บอนเป็นศูนย์ถึงแม้นมันยังไม่มีคนสนับสนุนมากแต่มันจำเป็น เพราะว่าต้องลดการใช้ขยะและนำขยะไปรีไซเคิลละก็เปลี่ยนให้เป็นพลังงานจำเป็น ซึ่งมช. จะได้ร่วมผลักดันกับคณะต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าให้เป็นคะแนน ผมให้สัก  7 เต็ม10 เพราะว่า ยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงมาก ได้ยินมาบ้างว่าเริ่มทำบางอย่าง...”[24]

          จากข้อมูลที่ให้มา การรับรู้และการสัมผัสของนักศึกษาแสดงให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีความตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและได้ดำเนินการในหลายด้านเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน โดยประสบความสำเร็จครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไปจนถึงระดับหนึ่ง ที่เป็นไปในทิศทางดีขึ้น แม้ว่าจะยังไม่บรรลุเป้าหมายทั้งหมด แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาสู่มหาวิทยาลัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั้งสามคนต่างเห็นพ้องกันว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีความพยายามในการผลักดันเรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น รับน้องขึ้นดอย การรณรงค์เรื่องคาร์บอนเป็นศูนย์ หรือการส่งเสริมการแยกขยะ


2.  การพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility)

          การนิยามความหมายการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility)

          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้นิยามว่า หมายถึง บริหารจัดการสัญจรที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการใช้พลังงานและมลภาวะต่อเมืองและชุมชนรอบข้าง โดยการวางผังเมืองสร้างการเชื่อมต่อคมนาคมให้สามารถเดินถึงกันได้ และมีการเชื่อมต่อเครือข่ายขนส่งที่สะดวก[57]

          การคมนาคมและการขนส่ง ในการวิจัยนี้ มีความหมายเดียวกับคำว่า การเดินทาง การสัญจร ซึ่งเป็นผลรวมจาก “Mobility” เข้ากับ “Transportation” ประกอบด้วย การเดินทาง การสัญจรทางเท้า, จักรยานไฟฟ้า, การเชื่อมต่อจากจุดหนึ่งไปอีกสถานที่หนึ่ง, การขนส่ง, ระบบการจราจร, การคมนาคม โลจิสติกส์ โดยผสมผสานกับเรื่องความยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainability) พลังงานสะอาด, การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Clean Energy), การให้บริการสาธารณะ (Public Services) และประสิทธิภาพ (Efficiency) ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรมและข้อมูลอัจฉริยะ เข้าไว้ด้วยกัน

          การกำหนดเป้าหมายของการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะ

           เพื่อ “การสัญจรที่มีประสิทธิภาพและ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” เพื่อลดการใช้พลังงานและมลภาวะต่อเมืองและชุมชนรอบข้าง โดยการวางผัง เมืองสร้างการเชื่อมต่อคมนาคมให้สามารถเดินถึงกันได้ในระยะ 500 เมตร และมีการเชื่อมต่อเครือข่ายขนส่งที่สะดวก ใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้าและก๊าซชีวภาพอัด CBG ซึ่งช่วยลดมลภาวะและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลง 217 ตันต่อปี นอกจากนี้ ยังมีการบริหารจัดการการ คมนาคมด้วยระบบ ป้ายอัจฉริยะ (Information Screen) เพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้เดินทาง และ “Mobile Application/ CMU App” เพื่อผู้ใช้บริการสามารถวางแผนการเดินทางได้เพื่อลดเวลารอคอยที่สถานีจุดจอดได้ไม่ น้อยกว่า 700 นาทีต่อวัน ลดจำนวนขนส่งมวลชนที่วิ่งเที่ยวเปล่าได้ไม่น้อยกว่า 100 เที่ยวต่อวัน (จาก 1,500 เที่ยวต่อวัน) รวมถึงมีระบบ Smart Parking ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางเพื่อหาที่จอดรถ 5 นาที/คัน ส่งผลต่อการลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงไม่น้อยกว่า 5,000 ลิตรต่อวัน[126]

          2.1)  หน่วยงานผู้ขับเคลื่อนหลัก : ส่วนงานการบริหารจัดการคมนาคมขนส่ง ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

          จากแผนพัฒนาการศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ฉบับที่ 12 มีการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ (CMC ศูนย์ Smart Control) ภายหลังเป็นศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน (SCMC) แทนที่ศูนย์รักษาความปลอดภัยและจัดระเบียบ การใช้รถในพื้นที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปี 2017125 ทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่คอยประสานงานกับหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ บริการจัดการเรื่องของข้อมูล (Data) เพื่อนำเสนอไปสู่ผู้บริหารและมหาวิทยาลัยส่วนกลาง นำไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจเพื่อการบริหารจัดการองค์การต่อไป การเกิดขึ้นของโครงการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมืองอัจฉริยะและศูนย์บริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ/ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน เป็นความพิเศษอย่างแตกต่างไปจากกรณีโครงการเมืองอัจฉริยะตามนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของประเทศไทยอื่นๆ โดยทั่วไป เพราะนอกจากจะเป็นหน่วยงานที่เป็นมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาเป็นคนจัดทำการพัฒนาเมืองเองรวมถึงบริบทของเมืองกับประชาชนที่แตกต่างออกไป เป็นพื้นที่ในมหาวิทยาลัยกับนักศึกษาและบุคลากรแล้ว ยังมีการจัดตั้งหน่วยงานที่ดูแลโครงการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมืองอัจฉริยะในฐานะผู้จัดการ/เจ้าของโครงการโดยเฉพาะ (Project Manager) ตามที่ได้นำนโยบายสมาร์ต ซิตี้มาปฏิบัติ[25],[26] เพื่อดูแลและการปฏิบัติหน้าที่ตามภาระงานด้านให้บริการและการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ครอบคลุม 7 ด้าน/ประเภท/มิติอัจฉริยะ  1.สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ 2.การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ 3.การดำรงชีวิตอัจฉริยะ 4.พลเมืองอัจฉริยะ 5.พลังงานอัจฉริยะ 6.เศรษฐกิจอัจฉริยะ 7.การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (ในด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานอัจฉริยะ จะมีหน่วยงานหลักร่วม คือ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์) มีภารกิจในการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะ คือ การให้บริการรถขนส่งมวลชน 12 สายตามตารางที่ 7. ให้บริการแก่นักศึกษา บุคลากรในมหาวิทยาลัยและประชาชนภายนอกทุกวัน มีการดูแลจัดเก็บและซ่อมแซมรถไฟฟ้าที่นำมาใช้งาน คาบเกี่ยวกับภารกิจด้านการพัฒนาการดำรงชีวิตอัจฉริยะที่ดูแลจัดการด้านความปลอดภัยในทางสัญจรในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วย

    นอกจากนี้บทบาทของศูนย์บริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ ยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา และให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน ทั้งหน่วยงานภายในและภายนอก โดยเฉพาะ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยอื่นๆ เมืองต่างๆ รวมถึงโครงการเมืองอัจฉริยะอื่นๆ แบบให้เปล่าเป็นการบริการและรับใช้สังคมด้านองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมถึงการเผยแพร่องค์ความรู้ทางด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการเป็นต้นแบบให้แก่ ชุมชนสังคมภายนอก      ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน แบ่งออกเป็น 3 ส่วนงานได้แก่ ส่วนงานการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศ ส่วนงานการบริหารจัดการคมนาคมขนส่ง และส่วนงานการรักษาความปลอดภัยและจราจร ในด้านการพัฒนาด้านการเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ จะเกี่ยวข้องกับส่วนงานการบริหารจัดการคมนาคมขนส่งสำหรับให้บริการรถขนส่งมวลชนขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และก๊าซ CBG และคาบเกี่ยวกับส่วนงานการรักษาความปลอดภัยและจราจรที่คอยจัดการด้านการจราจร ความปลอดภัยตามทางสัญจรภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้านการพัฒนาด้านการดำรงชีวิตอัจฉริยะ โดยมีการจัดซื้อจัดจ้างนำเข้ารถไฟฟ้ารุ่นที่ 3 และก่อตั้งศูนย์ศูนย์กลางขนส่งได้เป็นสถานที่ศูนย์ที่นำมาใช้ในการพัฒนาและให้บริการด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะถึงจนปัจจุบัน

               2.2)  การดำเนินการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะและผลผลิตอัจฉริยะที่ส่งมอบ

                    2.2.1) การจัดตั้งศูนย์กลางขนส่งมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU Public Transportation Center)

รูปภาพประกอบด้วย กลางแจ้ง, ต้นไม้, อาคาร, ท้องฟ้า

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 5. แสดงศูนย์กลางขนส่งมวลชนอัจฉริยะ ตั้งอยู่บริเวณประตูฝั่งคลองชลประทาน

(ที่มา : ภาพถ่ายสร้างโดยผู้เขียน, 22 ธ.ค., 2567)

                       มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดำเนินการก่อสร้างอาคารศูนย์กลางขนส่งมวลชนอัจฉริยะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2561 ในช่วงก่อนการนำนโยบายเมืองอัจฉริยะมาปฏิบัติ ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ : เมืองมหาวิทยาลัยอัจฉริยะ พลังงานสะอาด CMU Smart City - Green and Clean Energy เพื่อเป็นศูนย์กลางสำหรับรองรับการใช้บริการรถสาธารณะภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในช่วงนั้น ได้ดำเนินการจัดให้มีรถขนส่งมวลชนขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า รุ่นที่ 2 ให้บริการเป็นจำนวน 6 สาย และฝั่งสวนดอก 1 สายทุกวันจำนวน 55 คัน สามารถนั่งได้ 13 คน สามารถแทนที่การใช้น้ำมันดีเซลได้มากถึง 191,552 ลิตรต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศได้มากถึง 250 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และรถตู้ม่วงพลังงานจากก๊าซ CBG ที่ผลิตจากขยะภายใน จำนวน 4 คัน ให้บริการในฝั่งสุเทพไปกลับสวนดอก[27] โดยรุ่นที่ 3 ในปัจจุบันสามารถให้บริการได้ราว ๆ 42-40 คัน460

                    2.2.2) การเปิดตัวรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนรุ่นใหม่  (รุ่นที่ 3 ) ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด

                     มหาวิทยาลัยได้เปลี่ยนจากรถไฟฟ้ารุ่นที่ 2 มาสู่การนำเข้ารถขนส่งมวลชนขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ารุ่นที่ 3 (Electric Shuttle Car) จำนวน 40 คัน แทนที่ รวมแล้วใช้งบประมาณจากผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2020 ที่ผ่านมา 93,075,509 ล้านบาท ที่ใช้ไปมากสุดได้แก่ ค่าจัดซื้อรถไฟฟ้าจำนวน 40 คนเป็นจำนวน 40 ล้านบาท จัดจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยและขับรถ 21.9 ล้านบาทและจัดซื้อ AI 10 ล้านบาท[28] ถูกดำเนินการให้บริการเมื่อเดือนมกราคมปี 2564 ได้พัฒนาจากรุ่นที่ 2 โดยทำเป็นแบบปิด เพื่อกันแดดและฝน ภายในติดตั้งพัดลม และกล้องวงจรปิด โดยสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 16 ที่นั่งต่อ 1 คัน ใช้ระบบแบตเตอรี่แบบลิเทียมไอออนฟอสเฟต มีประสิทธิภาพและอายุการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นจากรุ่นก่อน สามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวันต่อการชาร์จเพียง 1 ครั้ง ใช้แนวคิดการบริหารจัดการบนข้อมูลจริง (Data Driven Management) ในการจัดเก็บและแสดงผลข้อมูลเป็นแบบเรียลไทม์ สามารถนับจำนวนผู้โดยสารด้วยวิธี Image Processing ร่วมกับ AI และแสดงข้อมูลเส้นทางเดินรถแต่ละสาย ผู้โดยสารแบบเรียลไทม์ ผ่านแอปพลิเคชัน CMU MOBILE มีส่วนช่วยลดลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 1,650 ตันคาร์บอนไดออกไซต์ ให้ตั้งแต่เวลา 7.00 น. -22.00 น. ตลอดทั้ง 7 วันต่อสัปดาห์ แก่นักศึกษา บุคลากรและประชาชน มีจำนวนผู้ใช้บริการสะสม 5,700,000 คนและมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 1,650 ตันคาร์บอนไดออกไซด์[29]

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, แผนที่, สมุดแผนที่, ตัวอักษร

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 6. แสดงหน้าตา การเรียกดูบริการรถขนส่งมวลชน มช. 12 สายแบบ Realtime 

(ที่มา : ภาพถ่ายสร้างโดยผู้เขียน, 22 ธ.ค., 2567)

          รถขนส่งมวลชนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ปรับปรุงจากรุ่นที่ 1 สีขาว มาสู่รุ่นที่ 3 ทำแบบปิดเพื่อกันฝนและติดพัดลม โดยเปิดให้บริการทุกวัน เวลา ประมาณ 07.00 – 22.00 น. ขึ้นกับแต่ละสาย มีจำนวน 12 สายบริการ ภายในฝั่งเชิงดอยสุเทพ 9 สาย และฝั่งสวนดอก 2 สาย ฝั่งแม่เหียะ 1 สายบริการ

                    2.2.3)  โครงการ CMU Smart Surveillance, Smart City Solutions Awards 2568

                    โครงการ CMU Smart Surveillance เป็นการแตกเอาการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในด้านการดำรงชีวิตอัจฉริยะ การบริหารงานอัจฉริยะ และการขนส่งอัจฉริยะและผลผลิตอัจฉริยะที่ส่งมอบมารวมเข้าไว้ด้วยกันสำหรับจัดทำเป็นโครงการดังกล่าวและส่งไปประกวดในรายการ Thailand Smart City Expo 2568 ในเวลาถัดมามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้คว้ารางวัลชนะเลิศ ‘Smart City Solutions Awards 2568 ระดับดีเลิศ จากหัวข้อ การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) ในงาน Thailand Smart City Expo 2568 ซึ่งได้ผลผลิตอัจฉริยะที่ส่งมอบที่เกิดขึ้น (Smart Deliverable)โดยการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) ได้นำการผลผลิตด้านอัจฉริยะที่ส่งมอบในด้านการดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) และการบริหารงานอัจฉริยะ (Smart Governance) มาบูรณาการกันโดยใช้แนวคิดการด้วยการขับเคลื่อนโดยข้อมูล (Big Data Analytics), Machine Learning, AI Image Processing ผ่านกล้อง CCTV ทั่วมหาวิทยาลัย, เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องร่วมกับข้อมูลทำให้เห็นภาพรวมของเมืองจากข้อมูลที่มีอยู่  รวมถึงการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งเทคโนโลยี 5G, การเชื่อมกับแอปพลิเคชัน CMU MOBILE, การตรวจจับการสวมหมวกนิรภัย (Helmet Detection), ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (ThaID), ระบบการลงคะแนนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Voting System : E-vote) หรือ Thai Blockchain Services Infrastructure เป็นต้น[31]

          2.3)  ผลลัพธ์ด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะ

         มหาวิทยาลัยมีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน รุ่นที่ 3 จำนวน 40-42 คัน ซึ่งดำเนินการให้บริหารรับส่งนักศึกษา และบุคลากรเป็นหลัก ทั่วไปในทุกวันเพิ่มรอบและเส้นทางเป็นจำนวน 9 สาย ซึ่งเป็นรถที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์-ไฟฟ้า ขับเคลื่อนเต็มรูปแบบ มีรถตู้ที่ใช้พลังงาน CBG อีก 3 คัน (เฉพาะสายแม่เหียะ) ให้บริการตั้งแต่เวลา 07.00 น. ถึง 21.35 น. สำหรับให้บริการต่อเนื่องทุกวัน

ตารางที่ 2.  แสดงเวลาออกรถ/สายรถ/จำนวนเที่ยว/ ของรถขนส่งมวลชนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ให้บริการรับส่งนักศึกษาและบุคลากรวันจันทร์-อาทิตย์

สาย

เวลาเดินรถ

รอบละ

จำนวนเที่ยว

วันเสาร์-อาทิตย์ วันหยุด / จำนวนเที่ยว

มช. - สวนดอก 1

07.00 น. ถึง 21.00 น.

15 นาที

61 เที่ยว

08.30 น. ถึง 16.30 น. /  33 เที่ยว

มช. - สวนดอก 2

สาย 97

07.15 น. ถึง 19.45 น.

30 นาที

41 เที่ยว

-

มช. - แม่เหียะ

07.00 น. ถึง 21.30 น.

30 นาที

51 เที่ยว

07.00 น. ถึง 16.30 น. /  16 เที่ยว

สาย 1 - ม่วง

07.00 น. ถึง 21.25 น.

15 นาที

55 เที่ยว

07.00 น. ถึง 21.30 น. /  39 เที่ยว

สาย 2 - เขียวแก่

07.00 น. ถึง 21.30 น.

15 นาที

55 เที่ยว

07.00 น. ถึง 21.20 น. /  41 เที่ยว

สาย 3 - เขียวอ่อน

07.00 น. ถึง 21.35 น.

15 นาที

55 เที่ยว

07.00 น. ถึง 21.30 น. /  41 เที่ยว

สาย 4 -  แดง

07.07 น. ถึง 21.20 น.

15 นาที

55 เที่ยว

07.05 น. ถึง 21.35 น. /  52 เที่ยว

สาย 5 - เหลืออง

07.02 น. ถึง 21.30 น.

20 นาที

44 เที่ยว

07.00 น. ถึง 21.30 น. / 36  เที่ยว

สาย 6 - ชมพู

07.00 น. ถึง 21.25 น.

15 นาที

54 เที่ยว

07.00 น. ถึง 21.25 น. / 50 เที่ยว

สาย 7 - น้ำเงิน

07.05 น. ถึง 21.30 น.

15 นาที

54 เที่ยว

07.00 น. ถึง 21.35 น. /  51 เที่ยว

สาย 8 - ฟ้า

07.05 น. ถึง 21.30 น.

15 นาที

55 เที่ยว

07.00 น. ถึง 21.35 น. /  53 เที่ยว

สาย 9 - น้ำตาล

07.00 น. ถึง 21.25 น.

20 นาที

44 เที่ยว

07.00 น. ถึง 21.35 น. /  37 เที่ยว

รวม

624 เที่ยว ต่อวัน

449 เที่ยว ต่อวัน

ความสามารถในการขนส่ง (สูงสุด 16 คนต่อเที่ยว)

9,984 คนต่อวัน

7,184 คน ต่อวัน

ความสามารถสูงสุดในการขนส่งเฉลี่ยต่อสัปดาห์

 9,184 คน ต่อ วัน (574 เที่ยว ต่อสัปดาห์)

ความสามารถสูงสุดในการขนส่งเฉลี่ยต่อปี

440,832 คน ต่อปี (27,552 เที่ยวต่อปี)

*หมายเหตุ. *ผู้เขียนคิดคำนวณจากข้อมูลจากรูปภาพ Info Grahpic ที่รวบรวมจากผู้เขียน, ที่มา : SCMC, photo (เฟซบุ๊ก, ออนไลน์), (31, ส.ค., 2567), https://www.facebook.com/scmccmu/photos

          จากการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะตามตารางที่ 7. ในด้านข้อมูลเชิงปริมาณมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีศักยภาพสูงสุดให้บริการด้านขนส่งสาธารณะพลังงานสะอาดให้แก่นักศึกษาและบุคลากรจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่สูงสุดเฉลี่ย 574 เที่ยวต่อวัน รองรับนักศึกษาได้สูงสุด 9,184 คนต่อวัน เวลารอรถตามสายเฉลี่ย 15-20 นาทีต่อสาย เฉลี่ยแล้วสามารถให้บริการ 36-48 รอบ/คันต่อชั่วโมง มีจำนวนทั้งสิ้น 12 สาย (เป็นรถตู้ CBG จำนวน 3 สาย) ขับเคลื่อนในเส้นทางรอบมหาวิทยาลัยอย่างครอบคลุมและมีเส้นทางเดินรถไปยังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในฝั่งดอยสุเทพ สวนดอกและแม่เหียะ

          อย่างไรก็ตามในด้านคุณภาพจากความคิดเห็นของพนักงานผู้ปฏิบัติงานที่ขับรถไฟฟ้าสีม่วงรุ่นที่ 3 และนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ผู้รับบริการขำนวนหนึ่ง พบว่ายังไม่มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ในด้านการให้บริการ ความสะดวกสบาย  ในขณะที่ด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สามารถลงได้ แต่รถมีสัดส่วนที่น้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับยานพาหนะที่เข้า-ออก ที่ส่วนมากใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ต่อเนื่อง แต่มหาวิทยาลัยและศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนมีความพยายาม ทำให้ประชนชน บุคคลกร นักศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ ได้เห็นถึงความพยายามในการใช้พลังงานสะอาดเป็นต้นแบบ*[32]  สอดคล้องกับตารางที่ 8. บ่งชี้ว่าการขนส่งส่วนบุคคลภายในมหาวิทยาลัย (Car/Motorcycle) ไม่นับรวมกับนักศึกษาอีกไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ลดลวหรือเกิดผลดีขึ้นเป็นรูปธรรมต่อเนื่อง บุคคลากรภายในมหาวิทยาลัยตั้งแต่ก่อนเข้าร่วมกับนโยบายฯจนถึงปัจจุบัน ยังคงใช้รถที่เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แทนที่จะหันมาใช้รถไฟฟ้าพลังงานสะอาด ซึ่งการขับเคลื่อนด้านการสร้างการรับรู้และจิตสำนึกยังไม่มีผลเกิดขึ้นเท่าไร แต่อย่างไรก็ตามการให้บุคลากรหันไปใช้ยานพานะพลังงานสะอาด เป็นเรื่องที่ยากเช่นกัน เพราะเกี่ยวข้องกับด้านฐานะทางเศรษฐกิจ รายได้ ข้อกำจัดของเทคโนโลยีรถไฟฟ้า เป็นต้น ดังนั้น การทำให้บุคลกรมาใช้พลังงานสะอาดเต็มรูปแบบและนโยบายการส่งเสริมการใช้ยานยนต์แก่บุคลากรและหน่วยงานเป็นยานยนต์ไฟฟ้ายังไม่เกิดผลสำเร็จ

ตารางที่ 3. แสดงการเปลี่ยนแปลงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากยานพานะ ก่อนและหลังเข้าร่วมนโยบายทีที่ได้ดำเนินการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่ง

 

การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emissions) / จากกิจกรรมที่เกิดขึ้น

ช่วงก่อนเข้าร่วมนโยบาย

ช่วงเข้าร่วมกับนโยบาย Smart City : CMU Smart City

ปี 2560

 

ปี 2561

 

ปี 2562

 

ปี 2563

 

ปี 2564

 

ปี 2565

 

ปี 2566
 (1ม.ค. -
10 ก.ย)

การขนส่งส่วนบุคคลภายในมหาวิทยาลัย
(Car / Motorcycle)

1,525.1

1525.1

1525.1

1,146.9

972.7

1,525.1

1504.33

ที่มา : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป). หน้าแรก (การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งมหาวิทยาลัยฯ ปี 2567, 1  ม.ค.- 10 ก.ย. 2567) [เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 10 ก.ย., 2567, 12:00:01 GMT+0700 (Indochina Time), สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, https://netzero.cmu.ac.th/web/

          ระบบขนส่งมวลชน (CMU Transit) มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เชื่อมต่อผ่านโทรศัพท์หรือระบบแบบออนไลน์ที่แสดงข้อมูลรถแบบเรียลไทม์ (Realtime) เช่น จำนวนคนนั่ง ตำแหน่งรถแบบเรียลไทม์ มีแนวคิดส่วนหนึ่งที่การเป็นต้นแบบ ใช้พลังงานสะอาดขับเคลื่อนรถรับ-ส่ง (Shuttle Electric Car) และมุ่งเน้นให้นักศึกษาและบุคลากร รถการใช้รถส่วนตัวที่เกิดมลพิษและลดมลพิษ ก๊าซเรือนกระจกเปลี่ยนมาใช้บริการรถไฟฟ้าที่ให้บริการตามเส้นทางต่าง ๆ ซึ่งยังไม่ประสบความสำเร็จในแง่ที่ผู้เขียนพิจารณาที่สัดส่วนจำนวนผู้ใช้รถสาธารณะพลังงานสะอาดเมื่อเทียบกับยานพาหนะส่วนตัวที่สูงกว่ามากและมีแนวโน้มการสัญจรเข้า-ออกเพิ่มขึ้น อีกทั้งความคิดเห็นของนักศึกษาบางส่วนที่เคยใช้ว่า ไม่ตอบสนองต่อความต้องการมากท่าใด เสียเวลาในการรอคอยรถที่ไม่เท่าเทียมกับคนที่มียานพาหนะส่วนตัวใช้เองหลายนาที ถ้าเป็นชั่วโมงเร่งด่วนยิ่งเกิดความยากลำบากในการสัญจรที่ช้าและใช้เวลาในการเตรียมตัวเดินทางยาวนานกว่าปกติ นอกจากนี้ความสะดวกสบาย และความไม่ครอบคลุมด้านสายรถและปริมาณรถ การบังคับใช้พลังงานสะอาดและผลการลดการปล่อยเรือนกระจกจากด้านการคมนาคมอัจฉริยะสามารถลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตามถ้าในแง่ที่ผู้เขียนพิจารณาถึงความสำเร็จ ก็คือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่สามารถมีรถขนส่งมวลชนการันตีให้บริการนักศึกษา ประชาชนทั่วไป และบุคคลกร เป็นสิ่งให้บริการพื้นฐานได้เป็นรูปธรรม คนภายนอกและภายในสามารถเห็นหรือรับรู้ถึงการมีอยู่ของรถไฟฟ้าสีม่วงได้ ในมหาวิทยาลัยเพราะมีเคลื่อนที่ตลอด ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของทหาวิทยาลัยแก่ผู้ที่พบเห็นได้

         สุดท้ายมีเก็บข้อมูลรถโดยเทคโนโลยีจับวัตถุเข้าออก โดย CCTV ที่ติดทั่วมหาวิทยาลัย และซอฟต์แวร์ สามารถบันทึกและติดตามป้ายทะเบียนยานพาหนะ บุคคลได้ มีการนำข้อมูล และการบริหารงานอัจฉริยะมาร่วม จากการบันทึก เก็บข้อมูล (Data) ปริมาณการใช้ยานยนต์สัญจรเข้า-ออก ปริมาณอุบัติเหตุ จุดที่เกิดอุบัติเหตุ จุดที่การจราจรที่ติดขัด เพื่อนำมาวางแผน ตัดสินใจ ร่วมกับ Learning Machine และผู้มีอำนาจตัดสินใจนำข้อมูลมาใช้ตามภาพ สำหรับบริหารจัดการการคมนาคมในมหาวิทยาลัยได้จริง ทำให้การคมนาคมในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีประสิทธิภาพและลดอุบัติเหตุได้มากขึ้น

          2.4)  ผลความสำเร็จการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะ

           จากการรับรู้และการสัมผัสตามประสบการณ์โดยตรงของบรรดาผู้นำนักศึกษา ฐานะกลุ่มเป้าหมายสำคัญในโครงการ CMU Smart City ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลและรับบริการโดยตรงจากการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility)โดยได้แสดงทัศนคติความคิดเห็นระบุไว้ ดังนี้

...หนูคิดว่า อันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็แล้วกัน ถ้าไม่ติดว่ารถม่วงมีน้อยเกินไป สายน้อยไป แต่การจัดการของเขา ระบบหลังบ้านของเขาคิดว่าโอเคเลย เพราะเราเหมือนมีกรณีของรถเพื่อนหาย สามารถติดต่อได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอ คิดว่าเป็นการจัดการที่โอเคมากที่สุดเท่าที่หนูดูมานะคะ ถ้าเต็ม 10 ให้ 8 ละกัน ย้อนกลับมาที่เรื่องรถม่วง มันไม่เพียงพอต่อนักศึกษาเหรอครับ จริงๆ แล้วมันเพียงพอ แต่มันจะไม่พอในกรณีในช่วงเร่งด่วน เช่น 8 โมงรถอะไรก็เต็ม สายไหนก็เต็ม แล้วตอนนี้เหมือนย่อยสายออกเป็น 11 มันย่อยหลายสาย รถก็น้อยลง หลังจากนั้นตอนปี 1 หนูก็ไม่ได้ใช้อีกเลย ซึ่งมันอาจจะตอบโจทย์ที่เขาไม่มีรถจริง ๆ หรือ นักศึกษาที่มีความอดทนสูง...[33]

...ในภาพรวมสำหรับหนู หนูรู้สึกว่า มันพึงพอใจมาก ๆ คะ แต่ส่วนรถม่วงตามที่บอกไป หนูรู้สึกว่ามันช้า ช้าไปมากๆ ในการรอ...[34]

...ได้ในระดับหนึ่งครับ ถ้าเต็มร้อยผมให้ประมาณ 60 มีเรื่องของการนำระบบ AI เข้ามาใช้ตรวจจับ แต่ถามว่าประสิทธิภาพเต็มไหม ผมว่า ยังไม่ ยังมีข้อเสียอยู่ ยังมี...[35]

“...Smart Mobility ในม. ถือว่าดี แต่เรื่องการวิ่งบนถนนปกติ มีปัญหาเรื่องไฟแดง ปกติจะวิ่ง 2 ฝั่ง แต่ตอนนี้จะเป็น 4 ฝั่ง ข้อดีคือช่วยให้ความปลอดภัยให้กับนักศึกษาที่ไม่มีอุบัติเหตุอะไรพวกนี้ แต่ว่า ผมว่ามันทำเกิดการเสียเวลาในการเดินทาง ส่วนรถม่วงผมว่าดี สะอาดด้วยและเป็นพลังงานไฟฟ้าสะอาดด้วย ผมว่ามีครอบคลุมในการบริการ...[36]

...สำหรับเรา เราค่อนข้างเห็นเป็นรูปธรรมกว่าด้านทั้งหมด อย่างรถม่วง เพื่อนๆ ใช้ อ่า ถ้าเป็น เรื่องนี้ เราเห็นได้...[37]

          นักศึกษาเห็นพ้องกันว่าการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะ เฉกเช่น การนำรถไฟฟ้าพลังงานสะอาดเพื่อการขนส่งมวลชน ที่มีการเชื่อมต่อการให้บริหารด้วยระบบออนไลน์และข้อมูล และบริหารจัดการเรื่องการสัญจรและความปลอดภัยบนท้องถนนภายในมหาวิทยาลัยมีความประสบความสำเร็จในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในระดับหนึ่งไปจนถึงดีมาก  เนื่องจากนักศึกษาสามารถรับรู้เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งผู้เขียนมองว่าในด้านดังกล่าวสามารถเห็นเป็นรูปธรรมได้ง่ายกว่าการพัฒนาในด้านอื่น ๆ นักศึกษามีความพึงพอใจอย่างดี เล็งเห็นว่าระบบการจัดการของศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนมีประสิทธิภาพ มีการนำระบบปัญญาประดิษฐ์ร่วมกับซอฟต์แวร์มาใช้เป็นเรื่องที่ดี สามารถให้บริการได้ครอบคลุมในระดับหนึ่ง ไม่เพียงพอสำหรับชั่วโมงเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม อีกสวนของนักศึกษาเห็นว่า แม้ว่าการให้บริการรถม่วงสายต่าง ๆ รอบมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่ดี แต่ รถม่วงยังไม่ตอบโจทย์นักศึกษาเหล่านี้เนื่องจากการรอคอยรถที่ช้ามาก ขาดความสะดวกสบาย ใช้เวลามากขึ้นสำหรับการเดินมากกว่าการใช้ยานพาหนะส่วนบุคคล ซึ่งเหมาะสมสำหรับนักศึกษาที่ไร้ยานพาหนะส่วนตัว เป็นสิ่งที่สำหนับการจัดให้มีบริการขนส่งสาธารณะภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในขั้นเพื่อฐาน แต่หากจะยกระดับไปอีกขั้นต้องมีการปรับปรุงข้อเสียในหลายด้าน


3.  การพัฒนาด้านผู้คนหรือพลเมืองอัจฉริยะ (Smart People and Citizen)

          การนิยามการพัฒนาผู้คนและพลเมืองอัจฉริยะ (Smart People)

        มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้นิยามว่า หมายถึง เมืองที่มุ่งพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะ และสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ ตลอดจนเปิดกว้างสำหรับความคิดสร้างสรรค์และการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้จัดให้มีวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต (CMU Lifelong Education) เพื่อเป็นช่องทางการศึกษาตลอดชีวิตและเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบออนไลน์ตามแนววิถีใหม่[57]

          การกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาพลเมืองอัจฉริยะ

           เพื่อ มุ่งเน้นการสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยมหาวิทยาลัย ได้จัดให้มี ช่องทางการศึกษาตลอดชีวิต (Lifelong Learning Channel) เพื่อเป็นช่องทางการศึกษาตลอดชีวิตและ เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบออนไลน์ออนไลน์ตามแนววิถีใหม่ มีการนำระบบเก็บเครดิต สะสมเพื่อสร้างแรงจูงในการเรียนรู้โดยตั้งเป้าให้ประชาชนเข้าถึงการเรียนรู้ผ่านระบบดิจิทัล (E-Learning) ไม่น้อยกว่า 80% ของประชากรเป้าหมาย[126]

          พลเมือง/ผู้คนในการวิจัยนี้มีความหมายเดียวกับคำว่า มนุษย์/บุคคล/ประชากร/คน/นักศึกษาและบุคลากรพนักงานผู้ปฏิบัติในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่” “ผู้คนและพลเมืองอัจฉริยะ ประกอบด้วย ผู้คน/นักศึกษาในฐานะกลุ่มเป้าหมายหลักและผู้มีส่วนได้เสีย ตามมาด้วยบุคลากรฯและประชาชนรอบมหาวิทยาลัยเป็นลำดับสุดท้ายที่ได้รับการพัฒนาเป็นศูนย์กลางในด้านการปรับเพิ่มทักษะ (Up-reskills) ทัศนคติ ความรู้ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ส่งเสริมการเรียนรู้และเข้าถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) จนเกิดความรับรู้ได้ถึงบทบาทหน้าที่ตนเองและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นพลเมืองอัจฉริยะ ในการยกระดับสู่ขั้นต่อไปคือเกิดเป็นความตระหนักรู้ กระตือรือร้นอย่างมีส่วนร่วม

           3.1)  หน่วยงานผู้ขับเคลื่อนหลัก : วิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต (Lifelong Education)

           ผู้นำท่านหนึ่ง [38] กล่าวว่า วิทยาลัยการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Education) มันเป็นส่วนหนึ่งของ University of Transformation โดยยึดอาคุณค่าของการดำรงสืบทอด (Existence) ที่ยาวนานของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นตัวตั้งสอดคล้องกันพันธกิจหนึ่ง คือ การรับใช้ด้านวิชาการให้แก่สังคม ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาผ่านบ่มเพาะบัณฑิตออกไปสู่สังคม  ซึ่งไม่ได้จำกัดเพียงแค่ผู้ที่เข้ามาในหลักสูตรแบบปกติ (Degree) แต่ขยายออกไปเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนทั่วไปออกไปในวงกว้างไปยังทั่วทุกพื้นที่ทั่วประเทศได้เข้าถึงองค์ความรู้และประสบการณ์แบบนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาส และความเสมอภาคได้เข้าได้เข้าถึงองค์ความรู้ดังกล่าว โดยมีการจัดตั้งเป็นวิทยาลัยเต็มตัวเป็นวิทยาการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในเดือน มีนาคม ปี 2564 วิสัยทัศน์ของวิทยาลัยการเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงประกอบด้วย การสร้างนวัตกรรมด้านการศึกษาตลอดชีวิตและสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้เกิดขึ้นขยายไปยังสังคม  วิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต จัดตั้งขึ้นเพื่อ เข้ามาเป็นหน่วยงานกลางที่ดูแลจัดการสำหรับการทำเรื่องแพลตฟอร์มการเรียนรู้ตลาดชีวิต (Lifelong Learning) และประสานงานเชื่อมต่อกับคณะต่าง ๆ ไปยังนักศึกษา บุคลากรและกลุ่มคนทุกกลุ่มในสังคมเข้าถึงการศึกษาหรือองค์ความรู้เพิ่มขึ้น เพื่อนำไปต่อยอดในชีวิต เพิ่มทักษะหรือเกิดเป็นอาชีพใหม่ ๆ

          สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลัก สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้คนที่ไม่ได้เป็นนักศึกษาของ มช. (Non-CMU Student) และเป็นการส่งเสริมให้การศึกษาโดยไม่มีเงื่อนไขแบบให้เปล่า คือการทำให้ ประชาชนทุกคนในสังคมไทยได้เข้าถึงการศึกษา ได้อย่างทั่วถึง ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด หรือเป็นการบริการรับใช้สังคมแบบให้เปล่า ที่ไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงและการเรียนรู้ ในลักษณะเป็นแบบ Social Enterprise ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนมาจากแหล่งอื่นๆ ในระดับประเทศ เช่น สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) 2) ผู้เรียนหรือเป็นวิชาที่เป็นวิชาชีพแบบเสียค่าใช้จ่าย เนื่องจากมหาวิทยาเชียงใหม่ถือเป็นธุรกิจทางการศึกษาหนึ่ง เป็นการจัดให้มีหลักสูตรประเภท Non-degree เป็นการ เพิ่มปรับทักษะ (Up-reskills) ที่เป็นฐานความรู้จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิตเป็นองค์กรกลางที่บริหารจัดการและประสานงานเชื่อมต่อ ลูกค้า และระบบการตลาด (Marketing) สำหรับกลุ่มเป้าหมายรองของวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต ได้แก่ 3) นักศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และบุคลากรภายในมหาวิทยาลัย พนักงานผู้ปฏิบัติงานต่าง ๆ เนื่องจากนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้รับโอกาสการเรียนการสอนจากคณะต่าง ๆ ตามปกติอยู่แล้วจึงมิได้มุ่งเน้นนักศึกษาเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ก็มีการจัดให้มีหลักสูตร skills4life ที่เป็นแหล่งเรียนรู้ในการพัฒนาทักษะซึ่งไม่มีในคณะ/วิทยาลัยต่างๆ ในตามปกติ เช่น กระบวนวิชาความเข้าใจอคติ  ความมั่นใจในตนเอง การเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นต้น ปัจจุบันมีหลักสูตรราว ๆ 600 หลักสูตร ประกอบด้วยหลักสูตร 1) หลักสูตรสะสมหน่วยกิต เพื่อสะสมเป็นส่วนบุคคลสำหรับการต่อยอดสู่หลักสูตรปริญญาได้ 2) ประกาศนียบัตรและใบรับรองสมรรถนะ 3) การเรียนรูปแบบออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และ 4) การเรียนแบบตัวต่อตัวในสถานที่และการฝึกปฏิบัติ

                     ภารกิจแรก คือ การส่งเสริมให้การศึกษาโดยไม่มีเงื่อนไข โดยมุ่งดำเนินการให้ ผู้คนในสังคมแพร่ขยายไปในวงกว้างไปถึงระดับประเทศ ได้เข้าถึงการศึกษา (Education) ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเรียนและเข้าถึง เรียนรู้ได้ตลอดชีวิต (Lifelong Learner) และได้รับองค์ความรู้ ประสบการณ์เหมือนกับนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการจัดระบบการเรียนรู้ผ่านสำนักงานส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITSC) เป็น CMU MOOC และระบบการเรียนรู้ทั้งกลุ่มผู้สูงวัยมีดี ในภารกิจแรกองค์กรค่อนข้างประสบความสำเร็จเนื่องจากมีผู้คนที่เข้ามาแล้วผ่านการเรียนรู้ในระบบนี้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

                     ภารกิจที่สอง มหาวิทยาเชียงใหม่ถือเป็นธุรกิจทางการศึกษา ในการจัดหลักสูตร Non-degree (ไม่ใช่ปริญญา) แต่มีคุณค่าที่เกี่ยวข้องกับงานของพวกผู้เรียนหรือเป็นวิชาที่เป็นวิชาชีพ ที่เป็นการ Up-reskills ที่เป็นฐานความรู้จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เน้นไปที่แต่ละคณะในมหาวิทยาลัยที่มีแพลตฟอร์มที่จะเข้ามาเปิดหลักสูตรการเรียนการสอน แล้วสถาบันเป็นองค์กรกลางที่เป็นบริหารจัดการเรื่องของ ฐานลูกค้า กลุ่มเป้าหมาย หลักสูตรและการตลาด ที่มีระบบที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน ง่ายและสะดวก  ภารกิจนี้เป็นเสมือนธุรกิจ ที่บุคคลต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเรียน สามารถสร้างรายได้ค่อนข้างมาก

          สำหรับวิทยาลัยนั้นเป็นการจัดการศึกษาที่ให้ผู้คนภายนอก ที่มิใช่นักศึกษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัย เข้ามาเรียนในระบบของ มช. ตามปกติเช่นเดียวกับนักศึกษาและได้รับความรู้ ประสบการณ์ ความรู้สักเหมือนกับนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งมีแบบระบบการเรียนการสอนพบเจอกันในสถานที่จริง (Onsite) และการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ (Online) ตามหลักสูตร โดยซึ่งเชื่อมโยงกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและการพัฒนาของมหาวิทยาลัยที่ได้ดำเนินไว้ก่อนหน้า ได้แก่ ระบบ บริการและโครงสร้างพื้นต่าง ๆ ที่มหาวิทยาลัยได้จัดทำไว้แล้ว เมื่อมีการเกิดขึ้น ของวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิตเป็นไปอย่างง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Jumbo Wi-Fi) ระบบจัดการการเรียนการสอนออนไลน์ (Learning Management System: LMS) สามารถเปิดให้บุคลากร/คณะต่างๆ นำหลักสูตรมาบรรจุไว้ในระบบออนไลน์ได้ คนทั้งในประเทศและต่างประเทศมาเรียนรู้ได้ และรถขนส่งสาธารณะ ก็ทำให้บุคคลภายนอกที่เข้ามาเรียนสามารถใช้ได้ ทั้งหมดนี้เป็นการเชื่อมโยงระหว่างการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่เข้ามาสนับสนุนในองค์กรดังกล่าว

                3.2)  การดำเนินการพัฒนาด้านพลเมืองอัจฉริยะและผลผลิตอัจฉริยะที่ส่งมอบ

                    3.2.1)  โครงการจัดตั้งวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ดำเนินการตามผังแม่บทการพัฒนามหาวิทยาลัยอัจฉริยะหนึ่งในนั้นมีวาระการก่อตั้งโครงการช่องทางการศึกษาตลอดชีวิต Smart Learning  เพื่อสร้าง Lifelong Learning ไปพร้อมกับการเป็นศูนย์เรียนรู้นวัตกรรม (Innovative Learning Center) ด้วยงบประมาณประมาณการ ที่เตรียมไว้ราว ๆ 30+4 ล้านบาท[39]

รูปภาพประกอบด้วย กลางแจ้ง, ต้นไม้, อาคาร, อสังหาริมทรัพย์

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 7. แสดงวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2562 ตามโครงการในผังแม่บทฯ

 (ที่มา: ภาพถ่ายสร้างโดยผู้เขียน, 22 ธ.ค., 2567)

          ตามแผนผังแม่บทการพัฒนาใมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อัจฉริยะพัฒนาขึ้นระหว่างปี 2560-2561 มีวางแผนการดำเนินการโครงการวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต และต่อมาในปี 2562 จัดตั้งเป็นวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต (School of Lifelong Education) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยปัจจุบันมี รศ. ดร.ปรารถนา ใจผ่อง ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต ในชื่ออย่างเป็นทางการว่า ในระยะแรก ดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในประเด็นการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม โดยการจัดให้มีรูปแบบเรียนรู้ที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกช่วงวัย นักศึกษาบุคลากร หรือผู้ที่สำเร็จการศึกษา รวมถึงประชาชนทั่วไป ได้เรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะ พัฒนาเป็นอาชีพใหม่ การเรียนรู้ในกระบวนวิชาที่เกี่ยวข้องในระบบธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) เพื่อเทียบโอนปริญญาหรือได้รับใบรับรองสมรรถนะจากมหาวิทยาลัย และจัดให้มีการศึกษาโดยการส่งเสริมให้มีหลักสูตรแบบพหุวิทยาการ (Multidisciplinary) หรือสหวิทยาการ(Interdisciplinary) และรองรับหลักสูตร Tailor-made ในอนาคต[40] ต่อมามีการจัดตั้งวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิตโดยมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563[41]  โดยการเรียนเป็นไปตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่าด้วยการศึกษาตลอดชีวิต ค.. 2562

                    3.2.1)  แพลตฟอร์มการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)

                    แพลตฟอร์มการเรียนรู้ตลอดชีวิต ดำเนินการโดย วิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต (School of Lifelong Education) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหน่วยงานในการจัดทำและหน่วยงานกลางประสานกับคณะหรือหน่วยงานวิชาการให้เข้ามาเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนออนไลน์ ปัจจุบัน มีโครงการ/ช่อง/หลักสูตรที่จัดเรียงเฉพาะด้าน เช่น

                               1) โครงการหลักสูตรเพื่อสังคมสำหรับผู้คนทุกคนในสังคมผู้เรียน เพื่อจุดมุ่งหมายในการเข้าถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิตสามารถเลือกหลักสูตรการเรียนรู้ได้ตามความต้องการและเป้าหมายของความสำเร็จผ่าน URL: https://www.lifelong.cmu.ac.th/life-skills ประกอบด้วย

                                        MOOC หลักสูตรความร่วมมือจากคณะ และส่วนงานในมหาวิทยาลัยผ่านการเรียนออนไลน์แบบเปิดมหาชน และมีประกาศนียบัตรรับรองการเข้าเรียนในหลักสูตร เน้นทักษะพื้นฐานเพื่อใช้ในชีวิต

                                        โครงการเกษียณมีดี (MEDEE: Multi-generation Entrepreneur Development Educational Ecosystem) เป็นส่วนหนึ่งเกษียณสร้างชาติ การสร้างระบบสภาพแวดล้อมที้สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต สำหรับพัฒนาทักษะงานในยุคดิจิทัลให้แก่ผู้สูงอายุหรือผู้เกษียณอายุการทำงาน

                                        LEAP Academy/Lifelong Education Aspiration Partnership เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์แก่ผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษา ได้มีโอกาสเข้าถึงหลักสูตรการเรียนที่หลากหลายตามความสนใจของตนเอง โดยจากความร่วมมือของวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน 

                               2) หลักสูตรปรับเพิ่มทักษะ Reskill/Upskill เป็นหลักสูตรอบรมระยะสั้นที่ออกแบบมาเพื่อเสริมทักษะเฉพาะทางที่จำเป็นสำหรับวิชาชีพ เพื่อเสริมทักษะเฉพาะทางที่จำเป็นสำหรับวิชาชีพ และสามารถวัดระดับได้ด้วยเกณฑ์ที่ชัดเจน โดยวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิตร่วมมือกับหน่วยงานในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  มีทั้งรูปแบบารเรียนเชิงปฏิบัติการ (Onsite) แพลตฟอร์มออนไลน์ ผสมผสาน ประกาศนียบัตรและหลักสูตรสะสมหน่วยกิต (Credits Bank) สำหรับสะสมหน่วยกิต เพื่อต่อยอดสู่หลักสูตรปริญญาได้ผ่าน URL: https://www.lifelong.cmu.ac.th/career-skills ประกอบด้วย

                                       หลักสูตรอบรมระยะสั้น (Short Course) ทั่วไป สำหรับบุคลากรและพนักงานผู้ปฏิบัติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และสำหรับผู้แทน (ผู้นำ) นักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต่าง ๆ โดยเมื่อสำเร็จผ่านหลักสูตรจะได้ใบรับรองสมรรถนะ (Competency Certificate) เป็นประกาศนียบัตรการันตีความสามารถและสมรรถนะเฉพาะ

                                      หลักสูตร Skills4Life ออกแบบโดยอ้างอิงจากงานวิจัยของ McKinsey Global Institute สถาบันวิจัยชั้นนำทางธุรกิจและการจัดการของโลก ที่แบ่งทักษะที่จำเป็นสำหรับงานในอนาคตออกเป็น 4 หมวดหรือที่เรียกว่า “Distinct Elements of Talent” (DELTA) ซึ่งประกอบด้วย 1)ทักษะด้านปัญญา (Cognitive) 2) ทักษะด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Interpersonal) 3) ทักษะด้านความเป็นผู้นำ (Self-leadership) 4) ทักษะด้านดิจิทัล (Digital)

                                      Data Science พัฒนาศักยภาพด้านการวิเคราะห์ข้อมูล Excel ไปจนถึงปัญญาประดิษฐ์เบื้องต้น เพื่อให้ผู้เรียนก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้ในยุคดิจิทัล

                                     CMU IDP (Individual Development Plan) หลักสูตรอบรมระยะสั้น จัดทำขึ้นโดย กองทรัพยากรทุนมนุษย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ร่วมกับวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต สำหรับบุคลากรและพนักงานผู้ปฏิบัติเพื่อปรับเพิ่มทักษะทางวิชาชีพเฉพาะทั้ง Hard/Soft Skill, Technical Skill, General Skill ปัจจุบันมี 94 หลักสูตร[42]

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ภาพหน้าจอ, เว็บไซต์, การโฆษณาออนไลน์

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 8. แสดงหลักสูตรการสร้างเสริมและปรับทักษะ (Reskill/Upskill) แบบ Skills4Life

(ที่มา : [43])

                    3.2.2) การให้การศึกษา (Education) กระบวนวิชาการเป็นพลเมือง (Citizenship) และหลักสูตรเป็นพลเมืองโลก (Global Citizenship)

          กระบวนวิชาการเป็นพลเมือง (Citizenship) กระบวนการเป็นพลเมือง (Citizenship) รหัสกระบวนวิชา 140104 วิชาบรรยาย จำนวน 3 หน่วยกิต เป็นหลักสูตรสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่เชิงบังคับเพื่อสร้างจิตสำนึกหรือการรับรู้ เข้าใจที่เปลี่ยนแปลงไป ถูกดำเนินการโดยคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ เป็นหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นโดยมุ่งเน้นด้านความรู้ความเข้าใจในเรื่องค่านิยมและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตในสังคม แลปัญหารอบข้างในระดับสากล ระดับประเทศและระดับท้องถิ่น สิทธิพลเมือง การยอมรับและปรับตัวทางความเท่าเทียมกัน คุณค่าของมนุษย์ ความหลากหลายทางสังคมและการแสดงออกทางการเมือง บทบาทของพลเมืองที่กระตือรือร้นในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับสากล ซึ่งขึ้นอยู่ใน

          หลักสูตรเป็นพลเมืองโลก (Global Citizenship) หลักสูตรที่กับควบคู่ในการปรับให้เป็นหลักสูตรสำหรับการอบรมระยะสั้นผ่านแพลตฟอร์ม Lifelong Learning และระบบธนาคารสะสมหน่วยกิต ถ่ายทอดทักษะการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง (Active Citizen) และทักษะความเป็นพลเมือง และความตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อม (Civic Literacy and Environmental Concerns) รวมถึงสิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบ สร้างความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ (ทัศนคติและค่านิยม) เคารพสิทธิมนุษยชนของผู้อื่น รู้จักหน้าที่พลเมือง และพิทักษ์รัฐธรรมนูญ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลรักษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ท่ามกลางความหลากหลายทางสังคม ความเท่าเทียมกันและคุณค่าของมนุษย์ผู้อื่น ให้แก่ นักเรียนโรงเรียนต่าง ๆ โดยเฉพาะระดับมัธยมปลาย, ประชนชน, นักศึกษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถูกดำเนินการโดยคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ร่วมกับวิทยาลัยการเรียนรู้ตลอดชีวิต[44][45][46]

           3.3)  การขับเคลื่อนความคิดเพื่อสร้างการรับรู้ ในการพัฒนาด้านผู้คนอัจฉริยะในมหาวิทยาลัยไปสู่พลเมืองอัจฉริยะ

           พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People/Citizenship) แบ่งเป็นสามส่วน ผ่านการพัฒนาจากพลเมืองหรือผู้คนอัจฉริยะ (Smart People) ได้แก่

                     ในส่วนแรก ส่วนของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เน้นไปที่นักศึกษาปริญญาตรี โดยคณะรัฐศาสตร์ บรรลุในหลักสูตรการเป็นพลเมืองโลก (Global Citizenship) ร่วมกับวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต ผ่านทางแพลตฟอร์มการศึกษาตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และได้มีกระบวนวิชาบังคับ Active Citizenship ปัจจุบันแพร่หลายไปแทบจะทุกคณะสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี เพื่อมุ่งหวังให้นักศึกษาเหล่านี้กลายเป็น Change Agents และเกิดจิตสำนึกด้านหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เข้ากับเทคโนโลยีทันสมัย และความเป็นพลเมืองโลก

                     สอง ในส่วนของบุคลากรและพนักงานผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บรรลุในการปรับเพิ่มทักษะ (Up-reskills) รวมถึงทัศนคติ และบรรลุแผนพัฒนาตนเอง (IDP) ผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิต และยังมีจิตสำนึกและการรับรู้ได้ (Perception & Consciousness) ต่อด้านตนเอง สังคม องค์การและสิ่งแวดล้อมและพลังงาน หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสู่การดูรักษาสิ่งแวดล้อมและพลังงาน รู้ทันเทคโนโลยี ร่วมกับนโยบายสำนักงานสีเขียว

                     สาม ประชาชนทั่วไป หรือผู้คน ซึมซับและเขาถึงวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learner) และการปรับเพิ่มทักษะ (Up-reskills) รวมถึงทัศนคติของตนเอง รู้ทันเทคโนโลยี

“...มันยั่งยืนเนี่ย มันจะต้องมีสิทธิและหน้าที่ เรามันจะเคลมแต่สิทธิ แต่เรื่องหน้าที่เราไม่เคยปฏิบัติให้มันเต็มที่... ...เช่น มหาวิทยาลัยในประเทศสวีเดน นักศึกษาทุกคนต้องได้รับการเข้ารับคอร์สการอบรมบ่มเพราะเรื่องของจิตสำนึกของส่วนรวม เรื่องของเทคโนโลยี เรื่องของเทคนิคก็จะเป็นความยั่งยืน ในทุกชั้นปีก็จะมีความเข้มข้น ในบางสาขาวิชาก็เกณฑ์บังคับด้วยซ้ำ ให้ต้องเรียนตัวนี้ เช่น เช่น วิศวกรรมศาสตร์ และสถาปัตยกรรมศาสตร์ถ้าหากคุณไม่ได้เรียนเรื่องการออกแบบอย่างยั่งยืน คุณจะไม่สามารถที่จะผ่านได้ รวมถึงกิจกรรมขอองนักศึกษาต้องทำตามตัวชี้วัดด้านอัจฉริยะทั้ง 8 ตัว (สิ่งแวดล้อม พลังงาน นวัตกรรม สิ่งปลูกสร้าง ชุมชน เศรษฐกิจ การบริหารงานและการคมนาคมขนส่ง) เป็นต้น เหล่านี้มันแทรกซึมในวิถีชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของพวกเขาหมด ขนาดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถือเป็นเมืองหรือชุมชนหนึ่ง ขนาดว่าที่มีนักศึกษาที่ได้รับการศึกษามากที่สุดแล้วละ ก็ยัง ขยับได้ยาก ยิ่งเป็นชุมชนที่ต้องการความหลากหลายยิ่งยากใหญ่ ดังนั้น ต้องเริ่มจากคนของเราก่อนที่ต้องเข้าในในศาสตร์พวกนี้ มีจิตสำนึกที่ดี สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมันต้องแทรกซึมเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตของนักศึกษาเลย อยู่ในจิตสำนึกในการปฏิบัติทุกวันในชีวิต มีความสำคัญมากกว่าการเรียนที่ผ่านมาแล้วผ่านไป มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต้องผลิตคนเหล่านี้ออกไป และคนเหล่านี้ต้องเข้าไปรับผิดชอบต่อสังคมโดยเฉพาะความยั่งยืน ในอนาคต นั้นคือเป้าหมายให้มีคุณลักษณะพิเศษในบัณฑิตของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตอนนี้ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น้อย ตอนนี้ก็มีการทำใน Lifelong Learning วิชาในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์บางตัวนะครับ พวกนี้เขาก็ใส่ Courses อะไรพวกนี้ลงไปละผมว่าจะไม่พอเท่ากับการเกิดเป็นการปฏิบัติทุกวันในชีวิต... [47]

          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้มีการปรับปรุงแนวคิด สำหนับการเป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาที่ให้การศึกษา (Education) แก่นักศึกษา เพื่อบ่มเพาะบุคคลนักศึกษา ให้ออกมาเป็นพลเมืองอัจฉริยะ และมีลักษณะพึงประสงค์ที่มหาวิทยาได้กำหนดไว้ (Smart Students) ทั้ง 7 ด้าน เช่น ความรับผิดชอบ จิตอาสา มีน้ำใจ มีความสร้างสรรค์ มีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีทักษะด้านเทคโนโลยีและอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นต้น ทั้งการนำกระบวนวิชาลงไปในแพลตฟอร์มการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่ดำเนินการโดย วิทยาลัยการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ร่วมกับหลักสูตรที่บังคับให้นักศึกษาส่วนใหญ่ได้เรียนกระบวนวิชาการ ด้านพลเมืองโลก ความยั่งยืนเป็นต้น

          ซึ่งเป็นอุปสรรคในทางปฏิบัติและผู้นำระดับสูงท่านเห็นว่า การขับเคลื่อนด้านความคิด จากการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยเพื่อความเข้าใจและมีการรับรู้ได้และจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมส่วนรวม ในเรื่องเกี่ยวกับกับ สมาร์ต ซิตี้, ความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง ความรับผิดชอบตระหนักรู้ด้านหน้าที่ของตนเองต่อสิ่งแวดล้อมและต่อสังคมเป็นกำแพงในประเทศและสิ่งที่มหาวิทยาลัยพยายามก้าวผ่านให้ได้ซึ่งปัจจุบัน ยังยังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น้อย  ไม่มีความเข้มข้นไม่มีการปฏิบัติจากนักศึกษาหรือแทรกซึมเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตของนักศึกษาอย่างทั่วถึง เข้มข้นและเห็นผลที่เปลี่ยนแปลงได้เป็นรูปธรรม ซึ่งยังไม่ประสบความสำเร็จ นการให้การศึกษาเพื่อสร้างให้นักศึกษามีความเป็นพลเมืองอัจฉริยะ     โดยมหาวิทยาลัยพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นต่อเนื่องในการนำเรื่องดังกล่าวบรรจุใน Lifelong Learning รวมถึงกระบวนวิชาในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์บางกระบวนการ คณะรัฐศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้บริหารระดับสูงท่านนี้เล็งเห็นว่าที่ได้ดำเนินการที่ผ่านมายังไม่เพียงพอและเข้มข้น ซึ่งหากดำเนินการจนเกิดผลสำเร็จตามที่ได้มุ่งหวัง จะก่อให้เกิดนักศึกษาที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นไม่นับทางด้านวิชาการที่เรียน แต่จะกลายเป็นพลเมืองอัจฉริยะ และกลายเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) ให้กับสังคม ชุมชนและประเทศและในด้านต่าง ๆ ด้านได้ในอนาคต

          สอดคล้องกับท่านนักศึกษาหนึ่งแม้นจะเป็นตัวผู้แทนนักศึกษาในปี 2566 ว่าจุดอ่อนนักศึกษาที่ขาดการมีส่วนร่วมจากนักศึกษาและอำนาจที่มหาวิทยาลัยมอบให้ นักศึกษาบางคนขาดความสนใจด้านสมาร์ต ซิตี้และด้านจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน เพราะมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวและไม่ได้มีความสำคัญ

...นักศึกษามีความเป็นปัจเจกสูง สมาร์ต ซิตี้ นโยบายรักษ์สิ่งแวดล้อมอะไรพวกนี้ ก็เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล แค่วัน ๆ อย่างผม และเพื่อนในคณะแพทย์ เอาตรงๆ ยังไม่รู้เรื่องสมาร์ต ซิตี้นโยบายสนุรักษ์สิ่งแวดล้อมพวกนี้ คนที่จะรู้เรื่องพวกนี้มันป็นความสนใจมาจากของเด็กคนนั้นจริงๆ เด็กบางคนเขาเรียนมาก็เหนื่อยอยู่ละ Getไหมพี่? เขาก็คงไม่มีอารมณ์มาให้ความรักษ์โลกเท่าไรหรอก เพราะคิดว่าไม่เป็นมีผลอะไรต่อตัวเขาเท่าใด ความไม่สนใจใส่ใจ... ...ผมไม่รู้ว่ามันจำเป็นไหมด้วยที่นักศึกษาต้องรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม  มันเป็นสิ่งที่ไกลตัวผมมาก เพราะวัน ๆ ผมกิน แล้วก็ทิ้งลงถึงแล้วก็เฉยๆ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรต่อว่าเอาขยะไปกำจัดที่ไหนให้เป็นศูนย์ ผมรู้สึกว่า ความรักษ์โลกของคนเรามันต่างกันนะพี่ บางคนเขายังไม่เข้าใจเลยว่า General Waste คืออะไร ผมคิดว่าหลายๆ คนยังมองข้ามอยู่ สุดท้ายแล้ว มันไม่ได้จะเกิดในมหาวิทยาลัย มันต้องเกิดแต่แรกอยู่ที่บ้านมากกว่า ส่วนคนที่สนใจพวกนี้ ชมรมค่าย คนที่สนใจด้านนี้ก็มี แต่มันน้อย ส่วนคนที่ไม่สนใจในด้านนี้ก็มี แต่มันเยอะ ประมาณนี้ครับ...[48]

          นักศึกษาส่วนหนึ่งยังสะท้อนผ่านทั้งความคิด วิถีชีวิตและพฤติกรรม ยังไม่เกิดความตระหนักรู้ได้ เกิดการรับรู้บางส่วน อีกส่วนเพิกเฉยต่อการให้ความสำคัญ ความสนใจ ความเอาใจใส่ และการรักษาและรับผิดชอบในด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานจากนักศึกษามหาวิทยาลัย ใน คณะหนึ่ง สามารถบ่งชี้ได้ว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยังมีการดำเนินด้านการพัฒนาด้าน ผู้คนหรือพลเมืองอัจฉริยะไปสู่ความเป็นพลเมืองอัจฉริยะยังคงไม่ประสบความสำเร็จ และสามารถเปลี่ยนความคิด หรือทำให้นักศึกษาเกิดความรับรู้ และตระหนักรู้เกิดขึ้น กลายเป็นเรื่องของปัจเจกชนไปแทนที่จะเป็นเรื่องของทุกคนในคณะเหล่านั้นที่รับรู้รวมกัน ไม่ถึงขั้นตระหนักรู้หรือกระตือรือร้น อย่างน้อยต้องเกิดความสนใจหรือมีส่วนร่วมในด้านสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น

           3.4)  ผลลัพธ์การพัฒนาด้านพลเมืองอัจฉริยะ

          โดยปัจจุบันมีหลักสูตรสำหรับด้านวิชาชีพ หรือ (Up-reskills)  รวมถึงในส่วนของผ่านสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ITSC) ที่เป็น CMU MOOC สำหรับกลุ่มคนในวัยทำงาน ผู้สูงอายุ เช่น โครงการเกษียณมีดี เป็นหลักสูตรส่งเสริมสุขภาวะทางด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น ภายหลังการมีอยู่ของวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต  มีบุคลากรและพนักงานผู้ปฏิบัติในมหาวิทยาลัยเชียงได้ใช้ประโยชน์ช่องผ่าน Lifelong Learning เป็นการปรับเพิ่มทักษะสำหรับการพัฒนาตนเองเพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติงาน เรียนรู้ ในองค์ความรู้และทักษะ เสริมสร้างทัศนคติ ตามหลักสูตรที่ตนเองสนใจเพิ่มเติม เช่นเดียวกับนักศึกษาและประชาชนที่สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ตามความสนใจได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา สะดวกทั้งมีแบบไม่มีค่าใช้จ่าย และเสียค่าใช้จ่าย

          ในปี 2567 เดือนกุมภาพันธ์ มีจำนวนผู้เรียนประกอบด้วย บุคลากรและพนักงานผู้ปฏิบัติงานและนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประชาชนทั่วไปจำนวนทั้งหมด 249,000  คน มีจำนวนผู้เรียนร่วม 1,000 คน จำนวนผู้เรียนปรับทักษะ (Upskill) หลักสูตรทักษะอาชีพ 26,000 คน และจำนวนผู้ได้รับใบประกาศนียบัตรจำนวน 157,000 ใบ[49] ในปี 2568 จนเดือนกุมภาพันธ์หรือในรอบ 1 ปี มีจำนวผู้เรียนเพิ่มขึ้น +12,000 คน จำนวนผู้เรียนร่วมไม่เปลี่ยนแปลง จำนวนผู้เรียน Upskill หลักสูตรทักษะอาชีพเพิ่มขึ้น +4,000 คน และจำนวนผู้ได้รับใบประกาศนียบัตรเพิ่มขึ้น 21,000ใบ[50]

          รวมทั้งสิ้นนับแต่ก่อนตั้งแพลตฟอร์ม Lifelong Learning , มีจำนวนผู้เรียนทั้งหมด 282,000  คน มีจำนวนผู้เรียนร่วม 1,000 คน จำนวนผู้เรียนปรับทักษะ (Upskill) หลักสูตรทักษะอาชีพ 30,000 คน และจำนวนผู้ได้รับใบประกาศนียบัตรจำนวน 178,000 ใบ

           3.5)  ผลความสำเร็จการพัฒนาด้านพลเมืองอัจฉริยะ

          จากการรับรู้และการสัมผัสตามประสบการณ์โดยตรงของผู้นำระดับสูงของมหาวิทยาลัยได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาด้านพลเมืองอัจฉริยะไว้ดังนี้

...เราพยายามให้ Education แก่นักศึกษาที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาออกไปสู่สังคมภายนอกให้มี  ความเข้าใจและมีการรับรู้ได้ในเรื่องเกี่ยวกับกับสมาร์ต ซิตี้พวกนี้ นี่ก็เป็น Barrier ที่สำคัญของประเทศไทยและเป็นสิ่งท้าทายแก่ มช.ที่ต้องผ่านไป เมื่อเทียบกับหลายประเทศที่เขาทำได้ ถ้านักศึกษาของเรามีความเข้าใจแล้วจะกลายเป็น Change Agents ได้ ที่ขับเคลื่อนสิ่งที่พวกเขาจะกระจายไปอยู่ทั่วประเทศไทย... ...ผมคิดว่า Perception เรื่องของเมืองที่มันทันสมัย มันยั่งยืนเนี่ย มันจะต้องมีสิทธิและหน้าที่ แต่เรื่องหน้าที่เราไม่เคยปฏิบัติให้มันเต็มที่... ....เรื่องของจิตสำนึกของส่วนรวม เรื่องของเทคโนโลยี เรื่องของเทคนิคก็จะเป็นความยั่งยืน... ขนาดว่าที่มีนักศึกษาที่ได้รับการศึกษามากที่สุดแล้วละ ก็ยัง ขยับได้ยาก ยิ่งเป็นชุมชนที่ต้องการความหลากหลายยิ่งยากใหญ่ ดังนั้น ต้องเริ่มจากคนของเราก่อนที่ต้องเข้าในในศาสตร์พวกนี้ มีจิตสำนึกที่ดี สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมันต้องแทรกซึมเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตของนักศึกษาเลย อยู่ในจิตสำนึกในการปฏิบัติทุกวันในชีวิต มีความสำคัญมากกว่าการเรียนที่ผ่านมาแล้วผ่านไป มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต้องผลิตคนเหล่านี้ออกไป และคนเหล่านี้ต้องเข้าไปรับผิดชอบต่อสังคมโดยเฉพาะความยั่งยืน ในอนาคต นั้นคือเป้าหมายให้มีคุณลักษณะพิเศษในบัณฑิตของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตอนนี้ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น้อย ผมว่าจะไม่พอ...” [51]

          ผู้บริหารระดับสูงมองว่าการพัฒนาด้านพลเมืองอัจฉริยะ ยังคงไม่ประสบความสำเร็จ เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อย ไม่เพียงพอ แต่มีความพยายามในการให้การศึกษาแก่นักศึกษาให้เกิดความครอบคลุมไปยังทุกคณะในกระบวนวิชาพลเมืองโลก และหลักสูตรการเป็นพลเมืองโลก พบว่าในภาพรวมของนักศึกษายังมีพฤติกรรม และการรับรู้ด้านจิตสำนึก (Conscious Perception) ที่ไม่ค่อยเกิดความเปลี่ยนแปลงที่จะกลายเป็น Change Agents หรือยังไม่ค่อยได้เกิดผลที่ปรากฏในชีวิตประจำวันร่วมกันเกิดขึ้น

          จากการรับรู้และการสัมผัสตามประสบการณ์โดยตรงของบรรดาผู้นำนักศึกษา ฐานะกลุ่มเป้าหมายสำคัญในโครงการ CMU Smart City ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลและรับบริการโดยตรงจากการพัฒนาด้านผู้คน/พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) โดยได้แสดงทัศนคติความคิดเห็นระบุไว้ตามนี้

“...สำหรับผมคิดว่า หลังจากต้องมีการบังคับลงเรียนวิชา Citizenship ของตัวคณะรัฐศาสตร์ฯ ในส่วนตัวไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบและไม่ได้ความรู้แก่ตัวเองเท่าไร เหมือนไม่ได้อะไรเลย ข้อสอบยากมาก เนื้อหาไม่ค่อยเข้าใจสำหรับส่วนตัวนะ ไม่ค่อยรู้เรื่อง มีการเปิดวิดิโอดูไม่ค่อย Touch ซึ่งผมเป็นวิศวะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ 3 เต็ม 10...”[52]

“...ผมเรียนสังคม ก็เคยผ่านการเรียนตัว Citizen มาก่อนไปเรียนที่คณะรัฐศาสตร์ ก็ถือว่าวิชามีเนื้อหาดี มีการนำเสนอสถานการณ์ต่าง ๆ ให้นักศึกษาตระหนักรู้ ซึ่งส่วนตัวก็คิดว่าดี ทัศนคติก่อน-หลัง ก็ดีขึ้น ส่วนด้านการเรียนการสอนมีความเข้าใจ Impact ของวิชานี้ 6.5 เต็ม 10...”[53]

“...ผมรู้สึกว่า Smart People มันไม่ประสบความสำเร็จ มันดูค่อนข้างไกลตัว คนในคณะผมหรือผมยังไม่รู้เลยว่า มช. มี CMU Lifelong หรืออะไรต่างๆ...”[54]

“...ถ้ามองเรื่องความสำเร็จผมให้ประสบความสำเร็จหรือของการนำเสนอให้รู้ได้ เพราะว่า ผมเคยมีประสบการณ์ในการเข้าไปเรียนร่วมใน Lifelong มาก่อน แต่ถ้าหากเราดูเรื่องตัวเลขของ ของคนเข้าไปเรียนหรือว่าเข้าไปเพื่อที่จะไปรับบริการตรงนี้เนี่ย ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับนักศึกษาทั้งหมด เหมือนกับว่า ยังไม่สามารถสร้างแรงจูงใจหรือกระตุ้นให้คนเข้าไปเรียนมากมายขนาดนั้น แล้วเนื้อหาที่เรียนค่อนข้างหลากหลาย เคยเข้าไปดูหลักสูตรเนื้อหา ส่วนการเข้าไปเรื่องเรื่องแรงจูงใจเท่าที่ดูมาเป็นเรื่องของการให้รางวัลเช่น เกียรติบัตร หรือให้คะแนนเพิ่ม มันจะเป็นกึ่ง ๆ แกมบังคับมากกว่า และปริมาณเนื้อหาข้างในมันค่อนข้างน้อย ไม่เข้มข้นและตอบสนองต่อความต้องการของนักศึกษาในบางวิชา... [55]

“...ในด้านการสร้าง CMU Lifelong ดีในระดับหนึ่งเป็นในทิศที่พัฒนาได้ ให้เกิดการบูรณาการในอนาคตตรงนี้เห็นภาพแต่ยังไม่ค่อยสำเร็จในแง่ไม่ได้เป็นจุดสนใจ กับคนส่วนใหญ่ เป็นแค่ทางเลือกคนส่วนน้อยมาเรียนจะมาพัฒนาตัวเอง ส่วนที่ล้มเหลว คือ เรื่องการสร้างนักศึกษาให้เป็นพลเมืองอัจฉริยะ ที่รับรู้ตื่นตัวในด้านสังคม สิ่งแวดล้อม เคารพกฎกติการ เห็นแก่ส่วนรวมยังไม่ค่อยเห็นได้ นักศึกษาส่วนใหญ่เลย ยังขาดมารยาท จิตสำนึก ขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวมอยู่เป็นส่วนใหญ่ มีมาให้เห็นบางวันที่มช....”[56]

          นักศึกษาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และผู้นำท่านหนึ่งเห็นพ้องร่วมกันตามประสบการณ์ตรงว่า การพัฒนาด้านพลเมืองอัจฉริยะยังไม่ประสบความสำเร็จ ในด้านกระบวนวิชาการเป็นพลเมืองมีเนื้อหาไม่เข้มข้นยังเกิดผลกระทบต่อผู้เรียนในระดับเล็กน้อยแต่มหาวิทยาลัยยังคงพยายามต่อเนื่องโดยจัดทำหลักสูตรเชิงบังคับ ส่วนแพลตฟอร์ม Lifelong เนื้อหายังไม่เป็นที่สนใจและเข้มข้น ในเรื่องการให้การศึกษาในเรื่องสมาร์ต ซิตี้ หรือความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง ยังไม่บรรลุผลสำเร็จหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อตัวนักศึกษาที่น้อย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการสร้างการรับรู้ (Conscious Perception) ต่อสังคม หน้าที่ตนเองและสิ่งแวดล้อม พฤติกรรมหรือทัศนคติ ที่แสดงออกในชีวิตประจำวันปรากฏร่วมกันไปในทิศทางที่ดีขึ้นที่น้อย ยังปรากฏพฤติกรรม การไม่การเคารพกฎจราจร การใช้ยานหนะส่วนบุคคลใช้พลังงานน้ำมันเกิดควันพิษก๊าซคาร์บอน การส่งเสียงดังรบกวนชุมชนและการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลรับน้องขึ้นดอย การทิ้งขยะและสูบบุหรี่ไม่เป็นที่ เป็นต้นอยู่กับนักศึกษาบางกลุ่ม ลักษณะดังกล่าวไม่ควรเกิดขึ้นกับความเป็นสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ต้องผลิตบัณฑิตออกไปกลายเป็นผู้เปลี่ยนแปลงให้แก่สังคม ความสำเร็จยังคงขึ้นกับกับความสนใจ จิตสำนึกหรือความคิดของปัจเจกชน ที่แตกต่างกันไป แทนที่จะเป็นเรื่องที่ซึมซับและเกิดขึ้นกับทุกคน


4. การพัฒนาด้านการดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living)

          การนิยามการพัฒนาด้านการดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living)

          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้นิยามว่า หมายถึง เมืองที่มีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกโดยคำนึงถึงหลักอารยสถาปัตย์ (Universal Design) ให้ประชาชนมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีมีความปลอดภัย และมีความสุขในการดำรงชีวิต[57]

        การกำหนดเป้าหมายการพัฒนาด้านการดำรงชีวิตอัจฉริยะ

          เพื่อสร้างความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตของคนใน ชุมชนอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นการพัฒนาด้านสังคม สุขภาพ และการรักษาความปลอดภัย โดยการจัดให้ ให้บริการศูนย์สุขภาพชุมชน (Health Hub) ศูนย์การแพทย์ทางเลือก และ CMU Smart Clinic Network CMU Smart Clinic และ CMU Smart Primary Care Center เพื่อให้บริการสุขภาพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพคุณภาพสูงอย่างเสมอภาค มีระบบให้คำปรึกษา ผ่าน VDO Conference เพื่อให้คำปรึกษาดูแลผู้ป่วยอย่างเป็นองค์รวม ไร้รอยต่อและทรงประสิทธิภาพ ลด ระยะเวลาการรอรับบริการลงไม่น้อยกว่า 5% และประชาชนเข้าถึงบริการทางสุขภาพคุณภาพสูงอย่าง ทั่วถึง โดยวัดจากร้อยละของผู้รับบริการเพิ่มขึ้น 5% ในแต่ละปีนอกจากนี้ยังติดตั้งระบบรักษาความ ปลอดภัยให้สามารถมีการรายงานสภาวะฉุกเฉิน ติดตั้ง CCTV ครอบคลุม 100% ของพื้นที่ สามารถ ตรวจสอบและเฝ้าดูแบบออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ได้ที่ศูนย์กลาง Smart Control System และมี การวิเคราะห์ผลข้อมูลขนาดใหญ่ที่สามารถเรียกใช้แบบเรียลไทม์เพื่อรองรับนสถานการณ์ฉุกเฉิน และ สามารถส่งข้อมูลเพื่อแจ้งเตือนแบบ SMS ไปยังโทรศัพท์มือถือได้ ซึ่งประชากรไม่น้อยกว่าร้อยละ 80% เข้าถึงระบบเตือนภัยฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง[126]

           การดำรงชีวิต ในการวิจัยนี้ มีความหมายเดียวกับคำว่า ความเป็นอยู่/การใช้ชีวิต/การอยู่อาศัย ในเมือง/พื้นที่ นั้น ๆ ระยะเวลาหนึ่ง การดำรงชีวิตอัจฉริยะ ประกอบด้วย ความสุข (Happiness), คุณภาพชีวิต (Quality of Life) ความปลอดภัย (Safety and Security)  สภาพแวดล้อมที่ดีและความน่าอยู่ (Environment & Livable)  ที้นำเทคโนโลยี นวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐานและข้อมูลอัจฉริยะมาใช้พัฒนาให้เกิด ความน่าอยู่ ความพึงพอใจต่อเมือง และการอำนวยความสะดวก (Facility) ให้ผู้มีส่วนได้เสียในการวิจัยนี้คือนักศึกษา รองมาเป็นบุคลากรและสุดท้ายคือประชาชนรอบมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

          4.1)  การดำเนินการพัฒนาด้านการดำรงชีวิตอัจฉริยะและผลผลิตอัจฉริยะที่ส่งมอบ

                    4.1.1) ประตูมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อัจฉริยะ (CMU Smart Gate) ร่วมกับกล้องวงจรปิด (CCTV) การประมวลผลภาพด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI Image Processing) และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics)

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, กลางแจ้ง, บอร์ด, ท้องฟ้า

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 9. แสดงภาพ การพัฒนาด้านการดำรงชีวิตและการคมนาคมอัจฉริยะระบบ CMU Smart Gate ดูแลจัดการโดย SCMC ประกอบด้วย CCTV, AI Software และ Monitor

(ที่มา : ภาพถ่ายสร้างโดยผู้เขียน, 22 ธ.ค, 2567)

          โดยมีการดำเนินการนำเทคโนโลยี กล้องวงจรปิด (CCTV) มีทั้งกล้องบันทึกภาพทั่วไปและกล้อง LPR (License plate recognition camera: LPR Camera) ที่ทำงานร่วมกับโปรแกรมในการรับ-ส่งข้อมูลจับภาพยานพาหนะพร้อมกับการจดจำตัวเลขและตัวอักษรบนป้ายทะเบียน (Character segmentation and Character Recognition) ของรถแต่ละคัน โดยทำงานร่วมกับระบบ AI และ Machine Learning สำหรับการติดตามการเคลื่อนที่  บันทึก จดจำ ทำนาย แยกประเภทข้อมูลของวัตถุ บุคคล และยานหาหนะในเข้า-ออกมหาวิทยาลัย เช่น การจำแนกชั้นข้อมูลที่บันทุกเข้า ได้แก่ ประเภทรถ สีรถ ทิศทางที่จะไป ข้อมูลรถรายชั่วโมง เป็นรายคันสามารถแสดงผลในไปยังศูนย์บริหารจัดการข้อมูลที่ได้บันทึกทั้งเป็นภาพและข้อมูลแบบเรียลไทม์ (Real-time) สำหรับรถจักรยานยนต์/รถยนต์ ยานพาหนะเข้า-ออก ได้ทุกคัน (ที่มีป้ายทะเบียน) ตลอด 24 ชั่วโมง  โดยรถที่มีป้ายทะเบียน 1 คัน ที่กำลังเข้า-ออกจะถูกแสดงข้อมูลผ่านจอ LCD ที่เรียกว่า CMU Smart Gate และส่งข้อมูลรถทุกคนไปยังศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นการแยกชั้น และเป็นประเภทข้อมูลแบบเรีบลไทม์ เพื่อนำข้อมูลเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารงานอัจฉริยะ

          CMU Smart Gate จะแสดงผลข้อมูลป้ายทะเบียนของยานพาหนะเฉพาะที่มีป้ายละเบียนแต่ละบุคคล วันหมดอายุที่มารับการลงทะเบียนเข้า-ออก และภาพถ่ายที่บันทึกตรวจจับโดยกล้องวงจรปิดมุมสูง ในอีกมิติ ทั้งประตูและกล้องมีส่วนในด้านจิตวิทยา ทำให้ผู้กระทำความคิดและคิดเข้ามากระทำความผิดรับรู้ได้เกรงกลัวมากขึ้นในด้านจิตวิทยาทำให้กรณีของปัญหาอาชญากรรมภายในลดลง มีการติดตั้ง CMU Smart Gate ในเส้นทางสัญจรหลักประตูหน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ หน้าคลองชลประทาน

          ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนยังเปิดการให้บริการลงทะเบียนอนุญาตผ่านเข้า-ออก 1 ประเภทรถยนต์หรือจักรยานยนต์ต่อ 1 ป้ายทะเบียน สำหรับนักศึกษาและประชาชนทั่วไป นักศึกษาฟรี ประชาชนในราคา 50 บาทและรถยนต์ 100 บาท เมื่อลงทะเบียนและชำระค่าลงทะเบียนแล้วจะได้รับ สิทธิ์ผ่านการเข้า-ออก และดูแลรักษาความปลอดภัยรถ มีอายุ 2 ปี     โดยรถที่ลงทะเบียน จะมีการติดตามโดยกล้องวงจรปิด และผ่านแอปพลิเคชัน CMU MOBILE ในฟังก์ชันล็อคยานพาหนะเสมือนกุญแจอออนไลน์ “My Vehicle” เป็นระบบติดตามยานพาหนะและแจ้งเตือนเมื่อรถมีการเคลื่อนที่ภายในมหาวิทยาลัย ที่มีหลักการทำงานโดยประยุกต์ระบบการตรวจจับวัตถุโดย AI และ Machine Learning แบบย้อนกลับ ปกติยานพาหนะต้องเคลื่อนเป็นปกติแต่เมื่อรถแล้วกดปุ่ม My Vehicle กุญแจล็อคออนไลน์ หากรถที่จอดมีการเคลื่อนที่ เคลื่อนไหวจะกลายเป็นสิ่งผิดปกติทันที  ระบบจะแจ้งเตือนทั้งยังเจ้าของรถที่ลงทะเบียนและส่งข้อมูลที่ผิดปกติไปยังพนักงานผู้ปฏิบัติงานที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาปลอดภัยและศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนในส่วนบริหารจัดการข้อมูลทันที

        ในอีกด้านในการรักษาความปลอดภัยนอกจากจะมีการถ่ายภาพบันทึกโดยกล้องกล้องวงจรปิด (CCTV) ทุกพื้นที่ ทุกมุมในมหาวิทยาลัยปัจจุบันครอบคลุมประมาณ 95% ของพื้นที่ในมหาวิทยาลัย ซึ่งยังคงพยายามพัฒนาในครอบคลุมทุกพื้นที่ในอนาคต นอกจากจะบันทึกภาพเป็นหลักฐาน หากเกิดอุบัติขึ้นภายในมหาวิทยาลัยแล้วยังช่วยบันทึกภาพ ติดตาม บุคคลเพื่อป้องกันการกระทำอาชญากรรมและโจรกรรม        นอกจากนี้ยังสามารถประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการติดตามป้ายทะเบียนที่เข้าข่ายว่าจะเป็นผู้กระทำความผิด (Blacklists) เฉพาะหรือเป็นกรณีสำคัญเข้ามายังมหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในส่วนงานการรักษาความปลอดภัยและการจราจรตาม ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนจุดต่าง ๆ จะสามารถวิทยุสกัดจับได้ทันท่วงทีหรือสามารถบันทึกภาพเป็นหลักฐานและข้อมูลเพิ่มเติมให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามต่อไป*[58]

                    4.1.2) การพัฒนาแอปพลิเคชัน “CMU MOBLIE” สำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Smart Device)

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ภาพหน้าจอ, แผนที่

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 10. แสดงหน้าตาของแอปพลิเคชัน CMU MOBILE ที่รวมบริการต่าง ๆ ผ่าน Devices

(ที่มา : ภาพถ่ายสร้างโดยผู้เขียนโดยการบันทึกจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ, 23 เม.ษ 2567)

          สำนักงานบริการเทคโนโลยีสารสนเทศได้พัฒนาแอพลิเคชัน CMU MOBLIE สำหรับใช้ในอุปกรณ์พกพา (Devices) ผ่านระบบปฏิบัติการทั้ง IOS และ Android โดยปัจจุบันในระบบปฏิบัติการแบบ Android มียอดผู้ใช้และการติดตั้งในอุปกรณ์เคลื่อนที่จำนวนมากกว่า 50,000 ครั้ง ได้รับความพึงพอใจของผู้ใช้งานอยู่ที่คะแนน 3.3 เต็ม 5.0 เพื่อสร้างการอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิต สนับสนุนด้านการเรียนการสอน บริการต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยไปสู่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บุคลากร เป็นหลัก

          ภายใต้แอพลิเคชัน CMU MOBLIE มีความยากในการจัดตั้งในส่วนของ ความพยายามรวบรวมบริการจากหน่วยงาน/องค์กรไว้เพียงที่เดียวหรือแอปพลิเคชันเดียว เป็นการสร้างความร่วมมือและมาตราฐานเดียวกันนำระบบบริการของตนเองมาเชื่อมต่อที่ส่วนกลาง ประกอบด้วย 1) บริการการลงทะเบียนเรียน การสรุปผลการลงทะเบียน การเพิ่มถอนกระบวนวิชา และผลการศึกษาจากสำนักทะเบียนวัดผลและประมวลผล 2) บริการยืมหนังสือและแจ้งยอดค่าปรับ ของสำนักหอสมุด 3) บริการที่จอดรถอัจฉริยะ บริการด้านระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนและแสดงข้อมูลของรถแต่ละคันและแต่ละสายแบบเรียลไทม์ และบริการระบบล็อครถหรือเพื่อรักษาความปลอดภัยของยานยนต์ที่ลงทะเบียนกับ SCMC แบบออนไลน์ร่วมกับกล้องวงจรปิด จากศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน 5) บริการแจ้งสภาพอากาศ (ปริมาณฝุ่น P.M. 2.5) แบบเรียลไทม์ จากศูนย์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4) บริการอื่น ๆ แก่ การเช็คชื่อเข้าชั้นเรียน, การเลือกตั้งผ่านแอปพลิเคชัน, ระบบหอพักนักศึกษา CMU Dormitory Portal การประเมินผลอาจารย์ผู้สอน และการลงชื่อใช้บริการฟิตเนส-ออกกำลังกาย

                    4.1.3) โครงการ Jumbo Net เครือข่ายไร้สายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยดำเนินการติดตั้งโครงข่ายอินเทอร์เน็ต Wi-Fi 5GHz 7,000 จุดส่งสัญญาณ

          สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศได้ดำเนินโครงการพัฒนาเครือข่ายไร้สายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โครงการ Jumbo Net สำหรับให้บริการแก่นักศึกษา คณาจารย์และบุคลากรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นหลัก เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของมหาวิทยาลัยด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาและอุปกรณ์ไร้สายด้วยมาตรฐานที่ปลอดภัย IEEE 802.11b, IEEE 802.11g IEEE 802.11n และ IEEE 802.11ac ด้วยคลื่นความถี่ 2.4GHz หรือ 5GHz ซึ่งมี 2 SSID (ชื่อ Wi-Fi) คือ @JumboPlus และ @JumboPlus5GHz

          ผู้ใช้งานต้องเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี CMU IT Account หรือ CMU Guest Account จำกัดที่ 10 อุปกรณ์ต่อ 1 บัญชี นับแต่อดีตถึงปัจจุบันได้มีการปรับปรุงเรื่องความรวดเร็วและจำนวนจุดปล่อยสัญญาณ (Access Points) อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีจุดปล่อยสัญญาณครอบคลุมในหลายพื้นที่ของมหาวิทยาลัย ตามภาพ จำนวนมากกว่า 7,000 จุดปล่อยสัญญาณ[59]

          โครงการ Jumbo Net เครือข่าย ก่อให้เกิดการอำนวยความสะดวกในการเรียน ทำวิจัยและค้นคว้าหาความรู้ ติดต่อสื่อสาร การทำงานกลุ่ม หรือด้านนันทนาการแก่นักศึกษาในพื้นที่มหาวิทยาลัยที่มีโครงสร้างพื้นฐานสามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตเมื่อเข้ามายังมหาวิทยาลัยได้ รวมถึงผู้ปฏิบัติงานและบุคลากรก็สนับสนุนด้านการปฏิบัติงานในประจำวันและเข้าถึงการค้นคว้า หาความรู้ ข่าวสาร ติดต่อ หรือเพื่อนันทนาการเมื่อบุคคลเหล่านี้ได้เข้ามาใช้ชีวิต ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยจากการรับรู้และสัมผัสโดยผู้เขียนพบว่า เครือข่ายไร้สายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้นมีความรวดเร็ว มีสเถียรภาพสูงไม่ค่อยมีปัญหาความขัดข้อง ครอบคลุมการให้บริการ ยกเว้นบางจุดซึ่งมีการพัฒนาให้ครอบคลุมในทุกปี

          หน่วยงานผู้ขับเคลื่อนรอง : คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

          ความเชื่อมโยงกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะกับคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือ การให้บริการต่าง ๆ ทางการแพทย์ ของคณะแพทย์ศาสตร์รวมถึงทันตแพทย์และอื่น ๆ ในการดูแลรักษาสุขภาพให้แก่นักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวมถึงประชาชนในพื้นที่รอบมหาวิทยาลัย ที่มุ่งประสงค์ให้มีบริการที่สะดวกสบายมากขึ้น ด้วยการใช้บัตรนักศึกษาหรือบัตรประชาชนเพียงใบเดียวก็เข้าถึงบริการได้ ตามปกติแล้วต้องใช้การยืนยันในหลายขั้นตอน ซึ่งเป็นการลดขั้นตอนบริการลงเพื่อสร้างความรวดเร็ว

           นอกจานี้ยังมีการดูแลผู้อื่น ๆ ที่เป็นการให้บริการทางการแพทย์ระยะไกล (Telemedicine) ตั้งแต่ได้พัฒนามาในช่วงสถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2562 โดยนำเทคโนโลยีและบริการทางการแพทย์มารวมกัน สามารถให้บริการวินิจฉัยโรค การให้คำปรึกษาทางการแพทย์ในทุกสถานที่เชื่อมเข้าหากัน

          ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์เชิงรุกตามแผนการพัฒนาการศึกษามหาวิทยาลัยระยะที่ 13 ในยุทธศาสตร์เชิงรุกที่ 3 Medicopolis Platform (การสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านนวัตกรรมการแพทย์ สุขภาพ และการดูแลผู้สูงอายุ) ซึ่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต้องการมุ่งสู่ “Innovative University” 3-P ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ (Products) กระบวนการในการอำนวยความสะดวกในการดูแลสุขภาพของนักศึกษา บุคลากร และประชาชนในเขตที่เราดูแลได้อย่างไร การรักษาต่าง ๆ ที่เป็นเลิศ (Process) และการบริการที่นำนวัตกรรมการดูแลผู้ป่วยให้ได้รับบริการที่เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น ผิดพลาดน้อยที่สุด (Services)[60]

          สำหรับหมุดหมายที่สำคัญของโรงพยาบาลมหาราช คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือ การทำให้เกิดอัตรารอดชีวิตของประชาชนทุกคนที่เป็นผู้ป่วยมีอัตรารอดชีวิตสูงสุด และมีภาวะแทรกซ้อนน้อยที่สุด ตามมาด้วยการมุ่งสู่ด้าน TQC และ TQA และตัวชี้วัดในด้าน SDGs Good Heath Well Being ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 3 (SDGs) และมุ่งสู่การวิเคราะห์หรือประเมิน ผลตอบแทนที่กลับคืนไปยังสังคม (Social Return on Investment (SROI) จากการเป็นมหาวิทยาลัยในด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ โดยปัจจุบันมีมีศักยภาพในการรักษาผู้ป่วยทั้งเมืองเชียงใหม่ และพยายามจะขยายความร่วมมือ กับมหาวิทยาลัย ภาครัฐ ภาคเอกชนในเครือข่าย (Triple Helix)

                    4.1.4) การจัดตั้งศูนย์ศูนย์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU Health Center)

รูปภาพประกอบด้วย กลางแจ้ง, ข้อความ, ต้นไม้, หน้าต่าง

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 11. แสดงภาพศูนย์สุขภาพมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

(ที่มา : ภาพถ่ายสร้างโดยผู้เขียน, 22 ธ.ค., 2567)

          อธิการบดีนิเวศน์ นันทจิตได้มีความคิดริเริ่มในการจัดทำศูนย์ ศูนย์กลางการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร สำหรับนักศึกษา บุคลากร และผู้เกษียณอายุราชการ โดยก่อสร้างแทนที่  อาคารสโมสรข้าราชการ เดิม[61] มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้จัดตั้งศูนย์จัดตั้งเป็นศูนย์ศูนย์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU Health Center โดยมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2565[62] โดยเป็นไปตามผังแม่บทการพัฒนามหาวิทยาลัยอัจฉริยะ มีความร่วมมือด้านบริการทางสุขภาพและการแพทย์จากหลายคณะได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ คลินิกทางการแพทย์ คณะเทคนิคการแพทย์ คณะเภสัชศาสตร์ และคณะทันตแพทย์ศาสตร์ เป็นเสมือนคลินิกและศูนย์บริการทางการแพทย์ที่หลากหลายได้แก่ คลินกสุขภาพจิต คลินกทันตกรรม คลินิกกายภาพ และคลินิกรักษาโรคทั่วไปและบริการการขอใบรับรองแพทย์ ที่นำมาจากโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ในการให้บริการรักษาเบื้องต้นรวมถึงเป็นพื้นที่สำหรับการจัดกิจกรรมและ Co-Working Space ให้บริการแก่ นักศึกษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ฝั่งเชิงดอยสุเทพ โดยไม่ต้องเดินทางไปที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

          และจัดตั้ง ศูนย์กีฬาและสุขภาพมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปี 2564 ใกล้หอพัก 40 มช. เป็นอาคาร 3 ชั้น โดยชั้น 1 เป็นห้องสำนักงาน ห้องพักบุคลากรและห้องทดสอบสมรรถภาพทางกาย (Physical Fitness) ชั้น 2 เป็นสถานที่ชมรมในมหาวิทยาลัย และให้บริการด้านการออกกำลังและฟิตเนส CMU FITNESS และชั้น 3 เป็นสนามกีฬาสำหรับกีฬาฟุตซอลและบาสเก็ตบอล

          4.2)  ผลลัพธ์ในด้านการดำรงชีวิตอัจฉริยะ

          ในด้านความปลอดภัย มั่นคงชีวิตและทรัพย์สินและบริหารจัดการด้านการคมนาคม จากการพัฒนาในด้านความเป็นอยู่อัจฉริยะ ส่งผลให้มหาวิทยาลัยมีการการเฝ้าระวังและป้องกันอาชญากรรม ผ่านระบบกล้องวงจรปิดและ AI ช่วยในการตรวจจับและติดตามบุคคลหรือยานพาหนะที่น่าสงสัย ครอบคลุมไปสู่ 95% ของพื้นที่มหาวิทยาลัยที่ กล้องสามารถตรวจจับได้ ช่วยลดโอกาสเกิดอาชญากรรมและการโจรกรรมภายในมหาวิทยาลัย  ซึ่งมีหลักฐานเป็นข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ ทำให้บุคลากร พนักงานผู้ปฏิบัติงานและนักศึกษา รวมถึงประชาชนที่เข้ามาในมหาวิทยาลัยได้รับความปลอดภัย มั่นคงทางชีวิตและทรัพย์สิน และเกิดความอุ่นใจในด้านการรักษาความเพิ่มขึ้น

         การลดการจ้างพนักงานผู้ปฏิบัติงาน ส่วนงานดูแลรักษาความปลอดภัยของศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนโดยปกติจะว่าจ้างทีมรปภ. Outscores ได้ประมาณ 10-15 คน ซึ่งส่งผลให้เกิดความประหยัดงบประมาณการจ้างบุคลากรจากภายนอก โดยระบบเทคโนโลยีแบบอัตโนมัติมีประสิทธิภาพมนุษย์และลดความผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Eror) ได้มากกว่าและแม่นยำกว่า

          ด้านการบริการและสนับสนุนการเรียนการสอนและการปฏิบัติงาน โครงการ Jumbo Net ก่อให้เกิดการติดตั้งอินเทอร์เน็ตไร้สายที่มีประสิทธิภาพ สเถียรภาพและรวดเร็ว ครอบคลุมแทบทุกพื้นที่กว่า 7,000 Access Points ช่วยสนับสนุนการเรียน การสอน การค้นคว้าหาความรู้ การปฏิบัติงาน และนันนทการแก่นักศึกษาและบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยอย่างสะดวกสบาย รวดเร็ว ครอบคลุมขึ้นกว่าในอดีตการเกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และทำงาน และใช้ชีวิตภายในมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน รวมถึงบริการบางบริการก็เปิดเฉพาะส่วนให้แก่ประชาชนทั่วไป

         นอกจากนี้ยังมีบริการผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่าง CMU MOBILE ที่มีความพยายามนำบริการจากหลากหลายหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยมารวมไว้ที่ด้วยกัน ทั้งการเรียนการเช็คชื่อ การลงทะเบียนเรียน บริการรถขนส่งสาธารณะ การยืมหนังสือเป็นต้น ที่สะดวกสบายและง่ายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้บริการจาก แอปพลิเคชัน CMU MOBILE ยังช่วยลดขั้นตอนในการรับบริการที่มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น

          ด้านการบริหารจัดการ เกิดข้อมูล (Big Data) ที่เก็บรวบรวมได้เพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้อมูลการเข้าออกของยานพาหนะและบุคคล การแยกประเภทยานยนต์ เพื่อนำไปวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ (Big Data-Driven) ในการวางแผนการบริหารจัดการต่อไป อีกทั้งสามารถจัดการควบคุมการเข้าออกในการจราจรได้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น ด้วยระบบการลงทะเบียนและตรวจสอบป้ายทะเบียนช่วยจำกัดการเข้าถึงพื้นที่เฉพาะให้กับบุคคลที่ได้รับอนุญาตได้

          ด้านภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ มหาวิทยาลัยพัฒนาให้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยช่วยสร้างความเชื่อมั่น น่าเชื่อถือ มีเทคโนโลยีและบริการที่ทันสมัยให้กับนักศึกษา บุคลากร และผู้มาเยือนได้รับรู้ เพื่อมุ่งสู่การเป็นต้นแบบและการเป็นที่บยอมรับให้กับสังคมในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของโครงการสมาร์ต ซิตี้

          จากการการดำเนินการพัฒนาด้านการดำรงชีวิตและเทคโนโลยี นวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน และข้อมูลที่นำมาใช้และผลิตออกมา และผลลัพธ์ จากหลากหลายบริการและการดำเนินงานที่ผู้เขียนได้สังเกต พบว่ามีความต่อเนื่องและเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามยังต้องมีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

          4.3)  ความสำเร็จการพัฒนาด้านการดำรงชีวิตอัจฉริยะ

           จากการรับรู้และการสัมผัสตามประสบการณ์โดยตรงของบรรดาผู้นำนักศึกษา ฐานะกลุ่มเป้าหมายสำคัญในโครงการ CMU Smart City ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลและรับบริการโดยตรงจากการพัฒนาด้านการดำรงอัจฉริยะ (Smart Living)โดยได้แสดงทัศนคติความคิดเห็นระบุไว้ ดังนี้

นักเรียนที่ได้เข้ามาสัมผัสแล้ว อยากเลือกเข้ามาอยู่เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เลย เพราะ คุณภาพชีวิตในมหาวิทยาลัยมันดีกว่าข้างนอก แล้วถ้าคุณเข้ามาในช่วงก่อนหน้า 8-10 ปีที่แล้วนะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มันรก มันภูธรมาก มันบ้านนอกมาก เราต้องยอมรับนะว่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พัฒนาอย่างไร้ทิศทางมาโดยตลอด แล้วก็แบบอย่างใช้ความรู้สึกไม่ได้ใช้หลักการและเหตุผล ศิษย์เก่าที่กลับเข้าคุยกันว่าสมัยฉัน สมัยพี่ไม่มีแบบนี้ พอเราได้ยินก็รู้สึกดีใจ...[63]

สำหรับหนู หนูคิดว่า มันไม่ได้มีผลอะไรกับหนูมากขนาดนั้นคะ เพราะว่า คือก่อนหน้าที่แบบที่จะทำ CMU MOBILE มาเช็คชื่อ การเรียนการสอนก็มีใช้ในการเช็คชื่อ แล้วก็พวกรถม่วงด้วยความที่เรามีรถมอเตอร์ไซด์อยู่แล้วมันไม่ได้ตอบโจทย์ให้เรามากขนาดนั้น แล้วก็ช้าด้วยกว่าจะมาแต่ละรอบ มันก็ไม่ค่อยมีความสะดวกต่อนักศึกษามากเท่าไรคะ แต่เท่าที่ฟังพวกพี่ เพื่อนๆ รอบตัว เขาพูดก็รู้สึกว่า มช. ทำอะไรพวก มันทำให้รู้สึกสะดวกขึ้นอะไรประมาณนี้คะ แต่สำหรับส่วนตัวหนู หนูคิดว่ามันไม่ได้มี Impact ขนาดนั้น เพราะมันไม่ได้ส่งการ Serve ความสะดวกสบายเท่าไรสำหรับหนู... ...ด้านความปลอดภัยเหมือนปล่อยให้รถเข้าไปได้โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ มันไม่มีใครมาตรวจอยู่แล้วพอช่วยเวลา ตี 1 ตี 2 ตี 3 รู้สึกว่ามันทำได้ แต่ควรทำได้เต็มที่มากกว่านี้ได้อีก...”[64]

“...คิดว่ามันช่วยให้คุณภาพชีวิตในเรื่องการอำนวยความสะดวกดีขึ้นในระดับเบื้องต้น ระดับหนึ่ง ยังไม่ได้มีอิมแพคต่อตัวผมและนักศึกษามากขนาดนั้น แต่ดีขึ้นได้ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยต้องพัฒนาต่อไป ยังควรจะไปได้อีกเยอะกว่านี้ครับผมประมาณ 6 เต็ม 10 เพราะในด้านสภาพแวดล้อม มช. เดิมก็ดีอยู่แล้ว พอพัฒนาก็ดีขึ้นต่อเนื่องทีละน้อย...[65]

“...ทุกวันนี้ เรื่องความปลอดภัยสภานักศึกษาเราได้รับเรื่องเกี่ยวกับการคุกคาม ค่อนข้างเยอะ ความปลอดภัยตรงนี้ ถ้าเป็นการคัดกรองโดยใช้กล้องวงจรปิดและระบบ AI ก็ป้องกันได้ในระดับหนึ่งแต่ถ้ามองถึงความรู้สึกนักศึกษาและเคสที่นักศึกษารับมาเนี่ย ค่อนข้างมีหลากเคสที่สภานักศึกษารับเรื่องมาเนี่ยกรณีการคุกคามจากบุคคลภายนอก ส่วนเรื่องอุบัติเหตุ เท่าที่ประมาณจากปีการศึกษาที่ผ่านมา 30-40 เคส แนวโน้มไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งทางสถานักศึกษามีความพยายามผลักดันในเรื่องการรณรงค์เรื่องความปลอดภัยนี้  ถ้ามองภาพรวมในตอนนี้ ยังไม่ประสบความสำเร็จในส่วนนี้...[66]

“...สำหรับผม มีผลกระทบในเรื่องการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมจาก Wi-Fi ด้าน CMU Heath Center และ CMU APP ผมว่ามันจำเป็นมาก เพิ่มความสะดวกให้กับนักศึกษา ส่วน CMU APP (CMU MOBILE) ผมว่าจำเป็นมากมันเกี่ยวกับระบบประมวลผลเกี่ยวกับการเรียนทุกอย่าง เกี่ยวกับการดูเกรด กาเรียนทุกอย่างหรือเข้าฟิตเนสก็ต้องล็อคอินผ่านระบบแอปนี้ ผ่านการสแกนหน้า ถ้าเป็นคะแนนให้ 7/10… ...ผมได้รับประโยชน์จากระบบสารสนเทศ ระบบอินเทอร์เน็ต บริการจากเว็บไซต์อะไรพวกนี้ หรือพวกระบบ IT ของ มช. ที่จัดทำบริการขึ้น แต่เพื่อนๆ ใช้กันแต่เพื่อนก็บอกว่า โอเค...[67]

...จากมุมมองคนที่เคยรับบริการและเคยใช้บริการ ประสบความสำเร็จด้านนำเสนอให้เห็น แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จด้านการให้บริการ เมื่อเราเข้าไปรับบริการเราจะมองเห็นปัญหามากมายเลยครับ มีข้อกำจัด เช่น เรื่อง ศูนย์สุขภาพ ยังมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนการให้บริการและเวลา ยังไม่รองรับเรื่อง Capacity และยังไม่ครอบคลุมการรักษา แล้วก็ แอพ CMU MOBILE ยังขาดความสเถียร Feature หน้าตา มันดูมาจากยุคเก่า...[68]

ถ้ามองว่ามันประสบความสำเร็จไหม แต่ส่วนตัวหนูไม่ได้พึงพอใจขนาดนัน เพราะว่าตัวหนูไม่ค่อยได้ใช้ด้วยอะไรแบบนี้ หนูก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยตอบโจทย์กับหนูเท่าไร แต่ถ้ามองเป็นจุดเป็นจุด ๆ ไป อย่างการบริการห้องสมุดกลาง หนูก็ไม่ค่อยได้ใช้มันก็ไม่ตอบโจทย์หนูเท่าไร ส่วนเรื่องความปลอดภัยของพวกการตรวจดูป้ายทะเบียนและกล้องวงจรปิด หนูรู้สึกว่ามันดีแล้วเรื่อย Wi-Fi หนูก็รู้สึกว่ามันแรงขึ้นจริงๆ แต่ว่าบางทีมันก็หายไปเลย ส่วนระบบการลงทะเบียนเรียน หนูคิดว่ามันสามารถทำง่ายขึ้นกว่านี้ได้คะเหมือนกับที่มหาวิทยาลัยอื่นเขาทำ เคยไปใช้ที่ตรวจที่ศูนย์สุขภาพไผ่ล้อม หนูไปขอใบตรวจสุขภาพทางการแพทย์ หนูก็รู้สึกว่า มันก็วันที่หนูไปใช้พยาบาลพูดไม่ค่อยดีการเสริมสร้างสุขภาพ ด้านที่มช.เราทำมันโอเค แต่ที่ฟิตเนส กับหอพักราคามันสูงไปหน่อย...[69]

          ภาพรวมในความสำเร็จด้านการพัฒนาการดำรงชีวิตอัจฉริยะ เป็นในลักษณะประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่งไปจนถึงยังไม่ประสบความสำเร็จ โดยจากทัศนคติผู้ใช้บริการจริงอย่างนักศึกษาในฐานะผู้มีส่วนได้เสียและกลุ่มเป้าหมายหลักบางส่วน เห็นว่า ในเรื่องอุบัติเหตุกับด้านความปลอดภัยยังไม่ดีเท่าที่ควร และส่วนใหญ่ที่ให้ความสำเร็จในเชิงลบยังว่าการพัฒนาด้านดังกล่าวยังมิได้ตอบสนองต่อความต้องการผู้ใช้งานจริง จึงยังรู้สึกไม่เป็นที่พอใจในผลที่ส่งมอบอกมาและการบริการ ส่วนในด้านที่มองว่าสำเร็จ พบว่า บริการด้านอินเทอร์เน็ต ระบบสารสนเทศ และแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ มีส่วนช่วยในการสนับสนุนด้านการค้นคว้าหาความรู้และการเรียนที่สะดวกมากขึ้น แต่บางท่านระบุว่าแต่ยังไม่มากเท่าใดในขั้นเบื้องต้น แทรกซึมในชีวิตประจำวันและมีการใช้งานจริง และมีระบบความปลอดภัยของพวกการตรวจดูป้ายทะเบียนและกล้องวงจรปิดที่มีการพัฒนาที้และสามารถติดตามรถได้จริง โดยด้านสภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ผู้นำระดับสูงมองภาพรวมว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ค่อย ๆ ปรับปรุงและพัฒนาในด้านคุณภาพชีวิตและสภาพแวดล้อม สิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเดิมที่เป็นไปแบบไร้ทิศทาง

...ในส่วนของด้านสุขภาพ โรงพยาบาลฝั่งสวนดอก (โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่) ตามการเคยไปรับบริการรักษาที่นั้นเป็นโรคลมพิษ ภูมิแพ้เข้าห้องฉุกเฉินในสองสามปีที่ผ่านมา ผมความรวดเร็วขึ้นมาก มีการจัดระบบที่ดีเยี่ยม ลดขั้นตอนไปเยอะ แค่ใช้บัตรหรือ ThaiID แล้วรับการรักษาเลย เหลือแค่ตอนหลังจากการรักษาไปจ่ายเงินรับยาที่ช้าอยู่ ส่วนศูนย์สุขภาพไผ่ล้อม (ศูนย์สุขภาพมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - CMU Health Center) ผมรับรู้ถึงไอเดียนะ พยายามเอาการรักษาทุกแขนงเบื้องต้นมาไว้ทีนี่ มีการใช้เทคโนโลยีลดขั้นตอน การรักษายังไม่ครอบคลุมทุกโรค ช้ากว่าโรงพยาบาลฝั่งสวนดอก แต่เราเห็นถึงความเร็วหรือมีการพยายามนำเทคโนโลยีข้อมูลมาใช้ได้ดีกว่าคณะรัฐศาสตร์ [70]


5.  การพัฒนาการพัฒนาด้านพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy)

          นิยามความหมายของการพัฒนาด้านพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy)

          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้นิยามว่า หมายถึง เมืองที่สามารถบริหารจัดการด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสร้างความสมดุลระหว่างการผลิตและการใช้พลังงานในพื้นที่ เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและลดการพึ่งพาพลังงานจากระบบโครงข่ายไฟฟ้าหลัก อาทิ มีการสร้างระบบ Smart Grid, Low Carbon Society โดยมีแผนการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ก๊าซชีวภาพหรือไบโอแก๊ส พลังงานแสงอาทิตย์ และไบโอดีเซล[57]

          การกำหนดเป้าหมายการพัฒนาด้านพลังงานอัจฉริยะ

         สร้างระบบ Smart Grid, Low Carbon Society” โดยแผนการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ก๊าซชีวภาพหรือไบโอแก๊ส พลังงานแสงอาทิตย์ และไบโอดีเซล ตั้งเป้าหมายผลิตพลังงานทดแทนรวม 50% ภายในปี 2562 ตั้งเป้าในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลง 10,900 ตันต่อปี นอกจากนี้ยังมีแผนการใช้ระบบกริดอัจฉริยะ (Smart Grid) เพื่อบริหารจัดการโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็กในเมือง ติดตั้งซอฟแวร์อัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้า รวมถึง ติดตั้ง Smart Meters ตรวจติดตามการใช้ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์เพื่อลดความต้องการกำลังไฟฟ้าในช่วงพีค ให้ลดลงไม่น้อยกว่า 50% และลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในชุมชนได้ถึง 10% ต่อปี ทั้งยังมีการพัฒนาระบบ กักเก็บพลังงานในรูปแบบของแบตเตอรี่และ Chemical Storage ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 50%[126]

          สรุป คือ การบริหารจัดการและพัฒนาด้านพลังงาน ตั้งแต่การผลิตและการใช้พลังงานเองภายในอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน 50% ด้วยระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะยิ่งขึ้น และเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy Transition Solution) ลดสัดส่วนการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอันก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซ CO2 เพิ่มการพึ่งพาตนเองก่อให้เกิดเทคโนโลยีในการบริหารและขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

           5.1)  หน่วยงานหลักที่ขับเคลื่อนการพัฒนาฯ : สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ (ERDI)

           ภารกิจหลักของสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในด้านการพัฒนาพลังงานอัจฉริยะ ประกอบด้วย ภารกิจ 3 ประการจากพฤกษ์ อักกะรังสี (2566)[71] ภารกิจที่ 3 เป็นด้านการบริหารจัดการขยะใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ ส่วนด้านการพัฒนาด้านพลังงานอัจฉริยะมีภารกิจ ดังนี้

          ภารกิจแรก 1) ระบบจัดการบริหารไฟฟ้า ปัจจุบันสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานพิงค์นครได้นำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้จนกลายเป็นระบบดิจิทัลแบบ Real-time สามารถแสดงให้เห็นหรือนำเสนอข้อมูล (Data) ว่า ส่วนงาน/องค์กรภายในมหาวิทยาลัยใด ใช้ไฟฟ้าไปมาก-น้อย เพียงใด เป็นรายนาที รายวันและรายเดือน ในทางประโยชน์ คือ การนำเข้าข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้า มาหารด้วยผลลัพธ์หรือผลผลิตของคณะส่วนงานนั้น ตามหลักเกณฑ์ ที่กำหนด (เช่น คณะแพทย์ศาสตร์มีการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงและเป็นไปตลอด 24 ก็จะมีการระบุหลักเกณฑ์ตามคณะ/หน่วยงานต่าง ๆ ที่เหมาะสม) ในทางปกติจะมีข้อมูลเปรียบเทียบ ท้ายที่สุดแล้วจะนำมาสรุปเป็น ดัชนีชี้วัดได้ว่าคณะส่วนงานนั้นๆ มีผลผลิต ผลิตภาพ ก็คือ ผลิตผล เชิงบวก ประสิทธิภาพเป็นอย่างไร และสามารถสรุปออกมาเป็นกราฟและข้อมูล ผ่านการร่วมกับศูนย์บริหารจัดการเมืองที่จะนำข้อมูลแปลงไปสู่สารสนเทศเพื่อนำเสนอ (Dash Board) แก่คณะผู้บริหารระดับสูงเพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งตัดสินใจและในการบริหารมหาวิทยาลัยได้ สามารถแสดงประสิทธิภาพการใช้พลังงานภายในส่วนงานทุกส่วนงาน ว่า มีความคุ้มค่า มีการประหยัดและมีประสิทธิภาพเพียงใด ซึ่งช่วยกำกับดูแลและบังคับให้เกิดการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดผ่านข้อมูลจจริง และการลงโทษ ส่วนงานที่ไม่มีประสิทธิภาพตามมาตราฐานที่มหาวิทยาลัยกำหนด เป็นการเก็บค่าไฟฟ้าเพิ่ม หรือตักเตือน จึงเป็นการผลักดันให้ส่วนงานต่าง ๆ ภายในมีการใช้พลังงานไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น

           ภารกิจที่สอง 2) โครงการสร้างพลังงานสะอาด แม้นมีหลายทางเลือก ตั้งแต่ ให้แต่ละคณะ/ส่วนงานดำเนินการติดตั้งแหล่งผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนอาคารเอง (Solar Rooftop) หรือมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ลงทุนเองโดยการกู้เงินมาดำเนินการทั้งหมด ท้ายที่สุดจึงเลือกทางออกที่เหมาะสมที่สุด คือ การให้บริษัทเอกชนเข้ามาลงทุนทั้งหมด เพื่อการแบ่งปันผลประโยชน์กับเอกชน โดยการเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปด้วยเงินลงทุนทั้งหมดที่มาจากเอกชนภายนอกที่นำโดยบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชนะการประมูล ผ่านสัญญาระยะ 20 ปีบังคับให้แล้วเสร็จในปี 2563 ขนาด 12 เมกกะวัตต์ (MW) จึงโอนกรรมสิทธิ์แฝงโซลาร์รูฟท็อปพร้อมระบบทั้งหมดในอนาคตให้ตกเป็นของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมหาวิทยาลัยจะซื้อพลังงานที่ผลิตได้โดยโซลาร์รูฟท็อปในราคาที่ต่ำกว่าที่รับซื้อปกติในราคา 4.0 อยู่เฉลี่ยราว ๆ 3.5 บาทต่อหน่วย และอาจต่ำกว่าลดหลั่นในบางเดือน แทนที่การนำเข้าไฟฟ้าปกติที่มาจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค-พลังงานฟอสซิลที่เกิดก๊าซเรือนกระจก

          พลังงานสะอาด (Clean Energy) มีแรงผลักดันในมหาวิทยาลัยด้วยการรณรงค์ให้มีการใช้พลังงานสะอาดในอัตราสัดส่วนที่สูงที่สุด และใช้พลังงานภายในมหาวิทยาลัยอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมสูงที่สุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จึงตั้งเป้าหมายสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดภายใน (Proportion of Clean Electrical Energy Use) ไว้ที่เป้าหมายแรก 100% แต่เป็นไปไม่ได้ในเทคโนโลยีปัจจุบันจึงลดลงมาเหลือ 50% เป็นเป้าหมายหลักในปัจจุบันที่สามารถปฏิบัติให้เป็นจริงได้ มหาวิทยาได้ตัดสินใจไม่ได้ลงทุนเองแต่จะได้ได้รับผลประโยชน์และก็ได้ใช้พลังงานสะอาดในระยะยาวและเป็นต้นแบบให้แก่ชุมชน สังคมภายนอกได้เห็นจริงในเรื่องการบริหารจัดการขยะและสร้างพลังงานจากขยะ     โดยมีสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานพิงค์นครเป็นผู้บริหารจัดการตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงปัจจุบัน โดยสามารถผลิตไฟฟ้าสะอาดได้จำนวน 17 MW (เมกะวัตต์) หรือ 20-25%

           เทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ ได้แก่ ระบบ (Easy) Smart Meter (ERDI-Easy Smart Meter System), ระบบโครงข่าย Smart Grid - แผงโซลาร์เซลล์ (Photovoltaic : PV) พร้อมระบบอุปกรณ์ควบคุมและกักเก็บพลังงานและเชื่อมต่อข้อมูล (Data) ไปยัง ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน (SCMC CMU) และสำนักงานบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITSC CMU)

           5.2)  การดำเนินการพัฒนาด้านพลังงานอัจฉริยะและผลผลิตอัจฉริยะที่ส่งมอบ

                    5.2.1) โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ บนหลังคาอาคารสิ่งปลูกสร้าง (Solar Rooftop) ขนาด 12 เมกกะวัตต์เชื่อมต่อกับระบบ Smart Grid (ลงทุนโดยบริษัทเอกชน ระยะ 20 ปีจึงยกให้เป็นทรัพย์สินให้แก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต่อไป)

รูปภาพประกอบด้วย กลางแจ้ง, ต้นไม้, ท้องฟ้า, ยานพาหนะทางบก

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 12. แสดงการติดตั้งอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด-แสงอาทิตย์ ใช้ภายในมหาวิทยาลัย

(ที่มา : ภาพถ่ายสร้างโดยผู้เขียน 22 ธ.ค., 2567)

                    จากแผนพัฒนาการศึกษามหาวิทยาลัยระยะที่ 12 ได้กำหนดยุทธศาสตร์เชิงรุกด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม มีเป้าประสงค์เพื่อสร้างสมรรถนะและแบ่งบันความรู้ด้านเทคโนลยีนวัตกรรมสีเขียวที่ยั่งยืน (Smart City & Grenn Innovation Leader) โดยการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด ทดแทน อย่างพลังงานจากแสงอาทิตย์ ก่อให้เกิดโครงงการในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสดงอาทิตย์บนหลังคาอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างของมหาวิทยาลัย เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่-ขนาด 12 เมกะวัตต์ 

           ในโครงการดังกล่าว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จึงได้เปิดการประมูลให้ภาคส่วนเอกชน เข้ามาลงทุนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายแทนที่ต้องดำเนินเอง เริ่มประมูลปลายเดือนกันยายน 2019 มหาวิทยาลัยได้กำหนดคุณภาพของการดำเนินการ โดยกำหนดใน TOR (Term of reference) ในเชิงเทคนิคไว้ดังนี้ แผงโซลาร์เซลล์ที่นำมาติดตั้งต้องมี Module Efficiency ≥  15.8% ชนิด Poly Crystalline Silicon มีกำลังไฟฟ้าสูงสุดได้ 310 วัตต์ต่อแผง เป็นไปตามมาตรฐานมอก. 1843/2580และ  EC61215 รับประกัน Linear Performance Warranty ≥ 80% ตลอดเวลา 25 ปี มีสภาวะ Standard test Condition (STC) จากตัวอย่างเงื่อนไขใน TOR เป็นการรับประกันคุณภาพของงานที่เกิดขึ้นให้เป็นไปตามมาตราฐานของมหาวิทยาลัยที่สูงพอสมควร ซึ่งจะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยมีการทำ TOR เพื่อรับประกันและกำหนดมาตราฐานทั้งผลผลิตและคุณภาพ พร้อมระยะเวลาที่จะได้รับเสมอแทบทุกโครงการที่เปิดให้แก่เอกชนเข้ามาดำเนินการ

           โดยในเวลาต่อมา บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ได้ชนะการประมูลและร่วมลงนามในสัญญาระยะ 20 ปีที่ระบุว่า ให้ดำเนินการติดตั้งแผงโซลาร์แล้วเสร็จก่อนปี 2563 ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ในปี 2562
โดยในโครงการประกอบด้วย แผงโซลาร์เซลล์ที่มีเงื่อนไขตามที่ระบุ เชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (
Smart Grid) มีความสามารถในการควบคุมการจ่ายกำลังและพลังงานไฟฟ้าภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเชื่อมต่อกับศูนย์บริหารจจัดการเมืองอัจฉริยะ (SCMC) ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศส่วนกลาง โดยสามารถควบคุมการจ่ายไฟฟ้าไปยังภาระไฟฟ้าต่างๆ ผ่านระบบส่วนกลางและตู้แสดงค่าทางไฟฟ้า (Easy Smart Meter)

         มีการติดตั้งอุปกรณ์แสดงผล ที่ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน หรือศูนย์ในฐานะ Smart Control Smart Data ที่สามารถแสดงค่าต่าง ๆ เช่น กระแสแรงดันไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ พลังงานแสงอาทิตย์ (W/m2) และพลังงานที่สามารถผลิตได้ต่อวันและพลังงานสะสม (kWh) เป็นต้น   และแสดงค่าการผลิตพลังงานไฟฟ้าต่อวัน ต่ออาทิตย์และต่อเดือนได้ในรูปแบบของกราฟ และรับ-ส่งไปยังระบบการติดตาม (Monitoring) ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ และมีการติดตั้งอุปกรณ์และเทคโนโลยีดังต่อไปนี้ เช่น เครื่องแปลงไฟฟ้า (Grid Connected Inverter), เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker),  ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy storage) ที่เชื่อมต่อไปยังระบบโครงข่ายไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยและเทคโนโลยีสารสนเทศส่วนกล่าง เพื่อแสดงข้อมูลสถานะต่างๆเช่น สถานะขอบเขต อุณหภูมิ แรงดันแบตเตอรี่ เป็นต้น มีระบบควบคุมการอัด-คาย ประจุแบตเตอรี่ที่ควบคุมได้แบบระยะไกล เทคโนโลยีแบบลิเทียม เชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าของมหาวิทยาลัย ที่สามารถตรวจติดตามและควบคุมไว้ได้โดยศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน (SCMC) ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศส่วนกลาง

          หลักการทำงานของ Solar Rooftop คือ แผงโซลาร์ที่จะรับแสงจากดวงอาทิตย์และแปลงเป็นพลังงาน ไฟฟ้ากระแสตรง จากนั้นเข้าสู่ตัว Inverter เพื่อแปลงเป็นกระแสสลับใช้ภายในอาคาร และมีการวางแผนการนำเทคโนโลยี ‘บล็อกเชน’ ซึ่งพัฒนาและให้การสนับสนุนโดย บริษัทบีซีพีจีจะถูกนำมาใช้ เพื่อซื้อขายไฟฟ้าระหว่างตึก อาคารของมหาวิทยาลัย โดยเทคโนโลยี‘บล็อกเชน’ ช่วยให้ทราบได้ว่า หาก ตึกไหนไม่มีการใช้ไฟฟ้า จะโอนพลังงานไฟฟ้าที่ได้เพื่อมาใช้กับอีกตึกอาคาร ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าได้อยู่ ตลอดเวลา ซึ่งทำให้การจัดการพลังงานไฟฟ้าเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                    5.2.2) โครงการการติดตั้งระบบ Smart Meter ทดแทนมิเตอร์ชนิดอนาล็อกแบบเดิม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโครงข่ายพลังงานไฟฟ้า ภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

                    ก่อนหน้านี้สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ศึกษาวิจัยและคิดค้นเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมในระบบการแสดงผลการใช้ไฟฟ้า ERDI-Easy Smart Meter System ขึ้นมาใช้งาน ประกอบด้วย 1) อุปกรณ์ตรวจวัดการใช้ปริมาณไฟฟ้า (Meter, Node) 2) อุปกรณ์ส่งสัญญาณข้อมูล (Modem) 3) อุปกรณ์เก็บบันทึกและประมวลผลการใช้ปริมาณไฟฟ้า (Main Server) และ 4) อุปกรณ์แสดงผล (Display) สำหรับการวัดปริมาณไฟฟ้าจะใช้ลักษณะการติดตั้งและการส่งสัญญาณ 1) แบบระบบสาย LAN ใช้มิเตอร์ไฟฟ้าแบบดิจิทัล (Digital) และหม้อแปลงกระแสไฟฟ้า (Current Transformer : CT) สำหรับการตรวจวัดปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่มีปริมาณสูง หรืออุปกรณ์ที่มีการใช้ปริมาณไฟฟ้าที่มาก ตามคุณสมบัติของมิเตอร์ไฟฟ้า และ2) แบบระบบ Wireless ซึ่งจะส่งสัญญาณ ERDI-ESM NODE และหม้อแปลงกระแสไฟฟ้า (CT) เหมาะสมกับการตรวจวัดปริมาณการใช้ไฟฟ้าของอุปกรณ์แต่ละชนิด ในแต่ละตำแหน่ง และอุปกรณ์ที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าในปริมาณไม่สูงมาก ทำให้สามารถวิเคราะห์การใช้ปริมาณไฟฟ้าในแต่ละตำแหน่งได้ละเอียดมากขึ้น นำมาใช้ประโยชน์เกิดเป็นข้อมูลค่าไฟฟ้าที่วิเคราะห์แล้ว, ทราบถึงจุดรั่วไหล, อัตราการสิ้นเปลืองของพลังงานไฟฟ้าในส่วนงานหรือพื้นที่, สามารถเก็บบันทึกและเรียกดูข้อมูลค่าไฟฟ้าย้อนหลังได้ และสามารถรายงานผลการใช้พลังงานไฟฟ้าได้แบบเรียลไทม์ เชื่อมต่อผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อให้เกิดการทำเป็นเครื่องมือในการควบคุม ติดตาม แสดงข้อมูลที่เป็นรูปธรรมสำหรับการบริหารจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ[73]

         ในเวลาถัดมามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ดำเนินโครงการติดตั้งระบบ Smart Meter และ Smart Water Meter หรือ Easy Smart Meter เพื่อรองรับการเป็นเมืองต้นแบบของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อัจฉริยะและเชื่อมต่อกับระบบการบริหารจัดการภายในมหาวิทยาลัย (Smart Management Center) ไปยังศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ภาพหน้าจอ, จำนวน, แผนภาพ

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 13.  แสดงการรายงานใช้ทรัพยากร เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า และอื่น ๆ ขององค์กรและแต่ละหน่วยงาน เชื่อมต่อกับ Smart Meter เป็นข้อมูลแบบ Real-time

(ที่มา : [74])

                    5.2.3) โครงการนวัตกรรมต้นแบบอาคารเรียนประหยัดพลังงาน ปลอดฝุ่นเพื่อสุขภาวะที่ดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

                   คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ได้จัดทำโครงการเพื่อเป็นต้นแบบอาคารเรียนนำร่องโดยปะกอบด้วย 1) การควบคุมคุณภาพอากาศ ซึ่งยังจำกัดในบางห้องเรียน เช่น ห้องปฏิบัติการออกแบบสถาปัตยกรรม ให้ให้มีคุณภาพอากาศที่ดีและปลอดฝุ่นละออง PM 2.5 โดยดำเนินการติดตั้งเครื่องกรองอากาศ และระบบหมุนเวียนอาการขนาดใหญ่ ที่ทำให้ความดันอากาศภายในห้องต้นแบบมีความดันสูงกว่าภายนอกเล็กน้อย (Positive Pressure) บั่นทอนการแทรกซึมของฝุ่นละออง PM 2.5 เข้ามาภายในห้อง ร่วมกับระบบ Fresh Air ผ่านเครื่องโบลเวอร์ (Blower) ดูดอากาศหมุนเวียนภายในห้อง ผ่านไส้กรองซึ่งสามารถกรองฝุ่นและฟอกอากาศ PM 2.5 ผ่านระบบท่อและลำเลียงอากาศไปยังทั่วห้อง อากาศที่ถูกเติมเข้ามาจะปราศจากฝุ่น PM 2.5 และลดการสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอน จากสภาพแวดล้อมในการเรียนและมีสุขภาพที่ดีขึ้น 2) การสร้าง นวัตกรรมต้นแบบสวนแนวตั้ง ลดอุณหภูมิได้ 1 องศาเซลเซียส ที่มีการปลูกต้นไม้แนวตั้งเพื่อกรองแสงแดด ฝุ่นละอองและลดอุณหภูมิภายในอาคารลง โดยมีโครงสร้างที่ประกอบได้ง่าย น้ำหนักเบา และดูแลรักษาได้ง่าย โดยใช้พันธุ์พืชพรรณไม้เลื้อย และ3) การสร้างระบบอาคารด้วยระบบ BIM Cloud Management เพื่อสามารถควบคุมการใช้งานและติดตามผลแต่ละพื้นที่ได้มีประสิทธิภาพและรักษาความปลอดภัย และมีการเก็บข้อมูลข้ออาคาร

          จากความร่วมมือร่วมในหลายหน่วยงานภายในได้แก่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, บริษัท พลังงานนครพิงค์ จำกัด, สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หน่วยงานเอกชนภายนอกได้แก่ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) และบริษัท เชียงใหม่วีระวิศวการ จำกัด[75] จะเห็นได้ว่าในบางองค์กร/คณะของมหาวิทยาลัยได้เริ่มดำเนินการในการนำร่องหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จอาจมีการนำไปปฏิบัติกับในหลายองค์กร/ส่วนงานในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต่อไป

                    5.2.1) การบังคับใช้นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน

          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้กำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานภายในมหาวิทยาลัย เพื่อสอดคล้องและสนับสนุนแผนแม่บท ฉบับที่ 12 ในแผนยุทธศาสตร์เชิงรุกและมุ่งสู่การเป็นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมืองอัจฉริยะ และได้มีการปรับปรุงนโยบายใหม่ เพื่อสอดคล้องและสนับสนุนแผนแม่บทฉบับที่ 13 ปัจจุบันสามารถสรุปประเด็นได้ดังต่อไปนี้ ได้แก่

                    (1) การสร้าง ออกแบบและรีโนเวท อาคารและสิ่งปลูกสร้างภายในมหาวิทยาลัยนับจากนี้ไปยังอนาคตต ต้องสอดคล้องและเป็นไปตาม แนวคิดและเนื้อหาสาระตามกฎกระทรวงพลังงาน มาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการ ในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พสังงาน พ.ศ. 2563 และ Green Office

                    (2) การสร้างการรับรู้ (Perception) ให้นักศึกษาและบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวมถึงประชาชนที่เกี่ยวข้องเกิดความตระหนักรู้ เห็นถึงความสำคัญและคุณค่า และรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ต่อความเปลี่ยนแปลงและต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

                    (3) บังคับใช้แก่หน่วยงาน/องค์กรภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้กำหนดนโยบายภายในองค์กรด้านพลังงานและกำหนดมาตราการการอนุรักษณ์และจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ และจัดทำรายงานทุกปี ซึ่งเป็นขยายการเก็บรวบรวมข้อมูล (Data) และเชื่อมโยงข้อมูลไปสู่ส่วนกลาง ด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการใช้ทรัพยากรในแต่ละหน่วยงาน/องค์กรภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ปรากฏ เป็นการบังคับให้เกิดการใช้ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

                           (4) บังคับใช้แก่หน่วยงาน/องค์กรภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดซื้อยานยนต์ (Vehicle) อาทิ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถตู้ และอื่นๆ นำเข้ามาภายในนับแต่ปัจจุบันเป็นต้นไปให้เป็นประเภท ยานยนต์/รถ ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเป็นสำคัญ และก่อนเชื้อเพลิงฟอสซิล         

                           (5) มุ่งเน้นการบริหารและจัดการขยะและชีวมวลแบบขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste) ต่อไป

                           (6) ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่อเนื่องและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในสำเร็จปี 2032

                           (7) ใช้พลังงานทดแทนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในสัดส่วนที่ผลิตขึ้น 25% สำเร็จ อย่างๆไรก็ตาม ยังไม่มีการตั้งเป้าเพื่อขยายเป้าหมายไปสู่การบรรลุในสัดส่วน 50% อย่างเป็นรูปธรรมตามเป้าหมายในด้านการพัฒนาด้านพลังงานสิ่งแวดล้อมในแนวนโยบายปัจจุบัน[76],[77]

          นโยบายสำนักงานสีเขียว CMU Green Office มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมที่ดีแก่สังคมและในหน่วยงานตนเอง มีการปรับปรุงระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1) ด้านพลังงานไฟฟ้า, 2) การใช้น้ำประปา, 3) การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง, 4) การใช้กระดาษ, 5) การผลิตขยะ และ 6) การผลิตก๊าซเรือนกระจก ผ่านการควบคุม ป้องกัน บริหารจัดการเพื่อนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างความรู้และความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมกับบุคลากรในสำนักงานมหาวิทยาลัยผ่านการอบรม โดยเป็นไปตามเกณฑ์เพื่อนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นโยบายสำนักงานสีเขียว นำมาสู่การกำหนดการบริหารจัดการ มาตราการและแนวทางในการปฏิบัติร่วมกับข้อมูล เพื่อยกระดับใช้พลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ก่อให้เกิดการสิ้นเปลือง สูญเสียโดยเปล่าประโยชน์และประหยัดค่าใช้จ่าย โดยจากการสังเกตจากผู้เขียนพบการขับคลื่อนไปสู่หน่วยงานภายในยังไม่ครอบคลุมทั่วทุกหน่วยงาน มีบางหน่วยงาน/คณะเท่านั้น ที่ได้นำนโยบายสำนักงานสีเขียวมาปฏิบัติในปัจจุบันได้แก่ สำนักงานมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สำนักหอสมุด (CMUL), คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์, คณะสัตวแพทยศาสตร์ และอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) นโยบายสำนักงานสีเขียว มุ่งการสร้างการรับรู้ (Perception) แก่บุคลากรและพนักงานผู้ปฏิบัติงานเกิดการปรับเปลี่ยนด้านพฤติกรรมและทัศนคติต่อความตระหนักรู้และรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ขณะที่การให้การศึกษา (Education) กระบวนวิชาบังคับเรียนเช่น หลักสูตรพลเมืองโลก (Global Citizenship) มุ่งสู่นักศึกษาควบคู่กันที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้าน Smart People

A screenshot of a computer screen

Description automatically generated

ภาพ 14. แสดงเป้าหมายนโยบายสำนักงานสีเขียว (Green Office) ปี 2566-2567 ของสำนักหอสมุด

(ที่มา :[78])

           5.3)  ผลลัพธ์ด้านพลังงานอัจฉริยะ

            ในด้านการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และไบโอก๊าซ ก่อนเข้าร่วมโครงการการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เช่นในปี 2560 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดจากแหล่งคาร์บอนต่ำ ได้แก่ แสงอาทิตย์ เป็นหลักและจากไบโอก๊าซที่ต่ำมาก 0.26% โดยยังคงพึ่งพาการนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่มีกระบวนการมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอันก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ต่อมาในไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 ได้ทยอยเริ่มการติดตั้งการระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคาร โครงการโซลาร์เซลล์-รูฟท็อป ขนาด 12 MW (Solar Rooftop) โดยให้บริษัทเอกชน บีซีพีจี จำกัด มาร่วมลงทุนในสัญญา 20 ปี ติดตั้งใน 150 อาคารภายในมหาวิทยาลัยก่อให้เกิดไฟฟ้าปริมาณ 12 เมกกะวัตต์ (MW)[79]  อีกทั้งมหาวิทยาลัยแทบไม่ใช้เงินลงทุนที่มากมายเมื่อเปิดให้เอกชนมาลงทุนติดตั้งทั้งหมดในสัญญา 20 ปี และซื้อไฟฟ้าในราคาค่าไฟที่ตกลงไว้กับบริษัทซีพีจี จำกัด (ไม่เกิน 4.0 บาท/หน่วย แต่ในความจริงถูกลงอีกเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ตกลงไว้รายปี) ซึ่งในอนาคตเมื่อสิ้นสุดสัญญา ระยะ 20 ปีโครงสร้างพื้นฐานและผลิตภัณฑ์อัจฉริยะที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยที่ผ่านมามีการทยอยติดตั้งมากกว่า 150 อาคารและขยายไปสู่พื้นที่ว่าง ๆ ต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัยที่มีประมาณรับการติดตั้งได้แทบจะครอบคลุมทุกพื้นที่แล้ว (จากเป้าหมาย 50%) ปัจจุบันสามารถผลิตไฟฟ้าคาร์บอนต่ำได้ปริมาณราว ๆ จาก 17 เมกกะวัตต์ (MW) มาอยู่ที่ 20 เมกกะวัตต์ (MW) ในปี 2565 ได้ขยายการดำเนินติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาของอาคารภายในมหาวิทยาลัยการจาก 150 อาคารเป็น 168 อาคาร[80]  ปัจจุบันในปี 2568 มหาวิทยาลัยสามารถผลิตพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ได้ขนาด 25 เมกกะวัตต์ (MW) (ตั้งเป้าหมาย 50% ปี 2572) [125]

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ภาพหน้าจอ, พล็อต, แผนภาพ

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 15. แสดงสัดส่วนเปรียบเทียบการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตเองใน มช. กับนำเข้า ปี 2066-2568

(ที่มา :[81])

          ปัจจุบันการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานรวมจากแหล่งคาร์บอนต่ำ ช่วงก่อนเข้าร่วมนโยบายอยู่ที่ 697 GJ สู่ปริมาณ 9,172 GJ ในปี 2561และไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 (ได้เริ่มดำเนินการทยอยติดตั้งการระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์) ทำให้สามารถผลิตแสงอาทิตย์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นปริมาณ 17,900 GJ และสิ้นสุดที่ ปี 2563 ด้วยพลังงานที่ผลิตได้ปริมาณ 50,738 GJ และเพิ่มสูงสุดในปี 2565 ปริมาณ 62,798 GJ (ทั้งนี้ช่วงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีมาตราการ Social Distancing ทางออนไลน์ ให้จำนวนผู้อาศัยอยู่และทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยลดลงระหว่าง มกราคม 2563 ถึงเดือนมีนาคม 2565) ในปี 2566 สามารถผลิตพลังงานคาร์บอนต่ำได้ปริมาณ 59,692 GJ ตามตารางที่ 4.

          การนับตั้งแต่ช่วงต้นปีสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดจึงเพิ่มอย่างก้าวกระโดดจากช่วงก่อนการนำนโยบายสมาร์ต ซิตี้มาปฏิบัติระหว่างปี 2560-2561 สัดส่วน 0.26% ถึง 3.45% ขยับมาสู่ 6.31% และ 20.65% ในปี 2562-2563 โดยปีปัจจุบัน 2025 (22 ก.พ.) และปีที่ผ่านมาสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนต่อการใช้ปริมาณพลังงานรวมอยู่ที่สัดส่วน 28.33% และ 21.11% ตามลำดับ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เช่นในปี 2565 ปริมาณ 7,300 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ปี 2566 ปริมาณ 9,925.8 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า  (เฉลี่ยเดือนละ 827.1)[82]

ตารางที่ 4. แสดงสรุปสัดส่วนการใช้พลังงานรวมจากแหล่งคาร์บอนต่ำต่อ
การใช้ปริมาณพลังงานรวม
ปี 2017-2025

แหล่งพลังงาน

ปี 2017

ปี 2018

ปี 2019

*ปี 2020

*ปี 2021

*ปี 2022

ปี 2023

ปี 2024

ปี 2025
(
1ม.ค.-22ก.พ.)

แบ่งตามนโยบายฯ

แผนพัฒนาฯ มช. ระยะที่ 12

แผนพัฒนาฯ มช. ระยะที่ 13

แบ่งแผนพัฒนาฯ มช.

ช่วงก่อนการ
นำนโยบายฯมาปฏิบัติ

ช่วงที่นำนโยบายฯ
มาปฏิบัติ

ช่วงนำนโยบายฯมาปฏิบัติ และได้รับรองเป็นเมืองอัจฉริยะเป็นทางการ

พลังงานรวมจาก แหล่ง Fossil

พลังงานรวม (ภายในอาคาร) GJ)

264,934

265,562

283,442

245,701

236,696

249,413

276,149

282,719

17,996

พลังงานรวมจากแหล่งคาร์บอนต่ำ

พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแสงอาทิตย์ (GJ)

697

8,036

16,862

49,700

55,973

61,875

62,654

59,692

5,099

พลังงานทดแทน จากไบโอก๊าซ ไบโอดีเซล (GJ)

-

867

1,038

1,038

812

923

1,006

N/A

N/A

รวมทั้งสิ้น (GJ)

697

9,172

17,900

50,738

56,785

62,798

63,660

59,692

5,099

สัดส่วนของการใช้ พลังงานทดแทน ต่อการใช้ปริมาณ พลังงานรวม (%)

0.26%

3.45%

6.31%

20.65%

23.99%

25.18%

23.05%

21.11%

28.33%

หมายเหตุ. * คือ ปีระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2562

ที่มา. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2566). สรุปสัดส่วนของการใช้พลังงานทดแทนจากแหล่งคาร์บอนต่ำต่อการใช้พลังงานรวมสำหรับแผน 12 ปี 25602565 และ แผน 13 ปี 25662569 ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, https://cmu.to/W6njw, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม..ป). หน้าแรก (สถิติการใช้ไฟรายเดือน, ม.ค.-ก.พ. 2568) [เว็บเพจ, ออนไลน์]. สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, เข้าถึง 22 ก.พ., 2025, 01:25:10 GMT+0700 (Indochina Time),  https://netzro.cmu.ac.th/web/

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, แผนภาพ, ไลน์, พล็อต

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 16.  แสดงกราฟการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนเปอร์เซ็นต์การใช้พลังงานทดแทน
ต่อการใช้ปริมาณพลังงานรวม ตั้งแต่ปี
2560 ถึง 2568

          เนื่องจากพลังงานสะอาดจากเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบันของเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) และข้อจำกัดด้านพื้นที่ในการติดตั้ง ทำให้อยู่ที่มหาวิทยาลัยมีความสามารถในการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้เองและใช้เอง ปริมาณสูงสุดที่การผลิตได้ราว ๆ 25 เมกกะวัตต์ (MW) จากการทยอยติดตั้งเพิ่มเติมมายังปัจจุบัน[125]

          ในด้านข้อมูล และผลมาจากระบบ Smart Meter และ Smart Management Center ด้านพลังงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีฐานข้อมูล (Database) และโครงข่ายด้านพลังงานอาทิน้ำและไฟฟ้า ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบการจัดการอัจฉริยะ (Smart Management Center) เพื่อการจัดการระบบสาธารณูปโภคภายในมหาวิทยาลัยอย่างมีประสิทธิภาพ สอง มหาวิทยาลัยมีวิธีการตรวจติดตามการใช้พลังงานภายในอาคาร และโครงข่ายพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดการบริหารจัดการพลังงาน สามารถควบคุม ติดตาม การใช้และประหยัดพลังงานคุ้มค่า เกิดขึ้นในแต่ละส่วนงานในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์ และมีการบริหารจัดการค่าไฟของแต่ละส่วนงานอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นตามยุทธศาสตร์เชิงรุก สาม ระบบดังกล่าว สามารถนำข้อมูลการแสดงผลการใช้ไฟฟ้าไปใช้ในการลดการใช้ไฟฟ้า (kWh) ได้อย่างน้อยร้อยละ 1-5% ต่อปี ขึ้นกับแต่ละหน่วยงาน  ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และเกิดแผนเชิงรุก หรือกลยุทธ์ในการลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงในทรัพยากรน้ำ[83]

          ในด้านการขับเคลื่อนการสร้างจิตสำนึกในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมแก่บุคลากรในมหาวิทยาลัย ตามการนำเนินการตามนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการโครงการและยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ๆ เป็นมาตราการสนับสนุนทำให้เกิดความพยายามในการการสร้าง ออกแบบและรีโนเวท อาคารและสิ่งปลูกสร้างภายในมหาวิทยาลัยด้วยแนวคิดที่ให้มีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน รักษาและแทรกด้วยพื้นที่สีเขียวให้เกิดความร่มรื่น ลดอุณหภูมิ ใช้วัสดุในการป้องกันรักษาอุณหภูมิให้เย็นขึ้น เช่น อาคารและสิ่งปลูกสร้างใหม่ ๆ ตามภาพ . จะมีการใช้แนวคิดที่ยั่งยืน โดยมีความพยายามรีโนเวทหรือสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างด้วยแนวคิดที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพให้ขยายครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงอาคารเรียนประหยัดพลังงาน ปลอดฝุ่นเพื่อสุขภาวะ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่ทั้งรักษาสุขภาพจากฝุ่นควันและบริหารจัดการการใช้พลังงานด้วยข้อมูล

รูปภาพประกอบด้วย กลางแจ้ง, ต้นไม้, ถนน, ปลูก

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ งง. แสดงอาคารและสิ่งปลูกสร้างแห่งใหม่ ๆ เช่น ศูนย์อาหารแห่งใหม่
จะมีแนวคิดสร้างให้เป็นอาคารที่ประหยัดพลังงาน และอนุรักษ์พื้นที่สีเขียวมากขึ้น

(ที่มา : ภาพถ่ายสร้างโดยผู้เขียน, 22 ธ.ค., 2567)

          นโยบายสำนักงานสีเขียวและวาระยุทธศาสตร์ด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน เน้นไปที่การสร้างการการรับรู้ (Perception) ให้นักศึกษาและบุคลากรภายในการอนุรักษ์และรักษาด้านพลังงาน และการใช้ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และลดการสร้างก๊าซเรือนกระจกทำให้บุคคลการในมหาวิทยาลัย เพิ่มการรับรู้ในการปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมมากขึ้นจากวิถีในประจำวันอย่างเป็นรูปธรรมขึ้น ร่วมด้วยการเก็บรวมรวมข้อมลูแบบเรียลไทม์ ในการใช้ไฟฟ้า,น้ำประปา, น้ำมันและกระดาษในหน่วยงานและส่วนงาน เกิดความคุ้มค่ามากขึ้นกว่าเดิม ไม่เกิดการสูญเสียด้านทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยประหยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก สามารถลดการสร้างขยะและก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการใช้ไฟฟ้า,น้ำประปา, น้ำมันและกระดาษได้ในสัดส่วน 0.5 - 5% จากปริมาณทั้งหมดต่อปี แตกต่างกันไปตามหน่วยงาน ตามปี และตามการบังคับใช้ให้เกิดผลอย่างไรก็ตาม เช่น สำนักหอสมุด (CMUL) ในปี 2565 และ 2566 สามารถ ลดใช้ไฟฟ้าได้ 1 %  ลดใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ 5% และ 1% ลดใช้น้ำได้ 1% ลดใช้กระดาษได้ 2% และ 1% ลดปริมาณคาร์บอนได้ 1%[84] ซึ่งยังจำกัดอยู่ในหน่วยงานเช่น สำนักงานมหาวิทยาลัย บางคณะ และบางหน่วยงานยังไม่ได้บังคับใช้และนำไปใช้อย่างทั่วทุกครอบคลุมทุกหน่วยงานในมหาวิทยาลัย

          อีกทั้ง การพัฒนาในด้านที่ 5 Smart Energy ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านที่ 1/3/7 Smart Environment Smart Governance และ Smart People สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านทัศนคติและพฤติกรรมที่กระทบต่อบุคลากรและพนังานผู้ปฏิบัติงานได้มากกว่าเพราะมีนโยบายและมาตราการบังคับใช้ที่เป็นรูปธรรมมากกว่านักศึกษา ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านพลเมืองอัจฉริยะอีกด้วย เพื่อการเปลี่ยนแปลงทางความคิดไปสู่ความตระหนักรู้และรับผิดชอบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของการเป็นพลเมืองอัจฉริยะ ผ่านนโยบายสำนักงานสีเขียว แบบบังคับใช้สำหรับบุคลากรและพนักงานผู้ปฏิบัติงาน) ที่ดูเหมือนจะเป็นรูปธรรมกว่า และการให้การศึกษา สำหรับนักศึกษา ผ่านหลักสูตรการเป็นพลเมืองโลกและอื่น ๆ ควบคู่กันไป อย่างไรก็ตาม ตามการสัมผัสของบุคลากรและนักศึกษาในมหาวิทยาลัยพบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านการรับรู้ได้ พฤติกรรมและความคิดเป็นในวงจำกัดแค่ในระดับส่วนหนึ่ง เช่นเดียวกับการดำเนินนโยบายสำนักงานสีเขียวยังจำกัดแค่บางหน่วยงานไม่กี่แห่งเทียบกับหน่วยงานทั้งมหาวิทยาลัย ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาด้านพลเมืองทั้งนโยบายและการให้การศึกษายังมิสามารถเห็นผลถึงการเปลี่ยนแปลงในพลเมืองมหาวิทยาลัย (บุคลากรและนักศึกษา) อย่างชัดเจนและเห็นได้เป็นรูปธรรมอย่างพร้อมเพียง

           นอกจากนี้การนำเทคโนโลยีมาบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรภายในหน่วยงานต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย ช่วยให้มีการบริหารจัดการ ติดตาม ควบคุม การให้คุณให้โทษแบบเรียลไทม์ ในการใช้ทรัพยากรของหน่วยงานได้เป็นรูปธรรม มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลทางอ้อมต่อด้านการพัฒนา Smart Economy เนื่องจากทำให้มหาวิทยาลัยประหยัดงบประมาณที่ต้องสูญเสียไปแบบสิ้นเปลือง ทรัพยากรได้ใช้ไปอย่างคุ้มค่ามากที่สุด

          การพัฒนาด้านพลังงานอัจฉริยะ ทำให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีความมั่นคง ยั่งยืนในด้านพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นและลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลจากภายนอกลง มีการจัดการ ติดตาม ควบคุมการใช้พลังงานด้วยข้อมูลเรียลไทม์และเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เกิดความประหยัด คุ้มค่า ด้านการใช้ทรัพยากร น้ำ ไฟฟ้า เชื้อเพลิง กระดาษ ซึ่งส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะทางอ้อม มีการจัดการของเสียและก๊าซคาร์บอนในหน่วยงานต่าง ๆ แบบติดตามได้ด้วยข้อมูล นำไปสู่การบริหารจัดการและให้คุณให้โทษแก่หน่วยงานภายใน และมีความพยามยามในการสร้างการรับรู้สร้างจิตสำนึกด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมให้แก่บุคคลากรและนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยมากขึ้น

           5.4)  ผลความสำเร็จการพัฒนาด้านพลังงานอัจฉริยะ

           จากการรับรู้และการสัมผัสตามประสบการณ์โดยตรงของบรรดาผู้นำนักศึกษา ฐานะกลุ่มเป้าหมายสำคัญในโครงการ CMU Smart City ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลและรับบริการโดยตรงจากการพัฒนาด้านที่ 5 : พลังานอัจฉริยะ (Smart Energy)โดยได้แสดงทัศนคติความคิดเห็นระบุไว้ ดังนี้

“...จริงๆ อันนี้มันค่อนข้างมีความสำคัญ แต่แรกแล้วกัน รู้สึกว้าพลังงานเป็นสิ่งที่เราใช้ตลอด อย่างในมหาวิทยาลัย หนูก็เห็นว่ามีโซลาร์เซลล์จำนวนมากมหาศาล ที่เป็นตัวช่วยเรื่องของพลังงานสะอาดด้วย ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่ดีของทางมหาวิทยาลัยที่พัฒนา แต่ถามว่าตัว นักศึกษาเข้าถึงเรื่องพวกนี้ไหมมันก็น้อย เพราะ พลังงานเป็นสิ่งที่ใช้กันอยู่ในมหาวิทยาลัยโดยที่เราไม่ได้มองเห็นมันอยู่แล้ว แล้วก็เห็นว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีความพยายามในการพัฒนาเรื่องนี้ แล้วก็เห็นมาตลอดว่าโอเคขึ้น ถ้าเป็นความพึงพอใจน่าจะ 8 เต็ม 10...”[85]

“...หนูรู้สึกว่ามันก็ดี เพราะปัจจุบันโลกเราใช้ไฟฟ้ากันเยอะ ถ้าเกิดว่าเราผลิตไฟเองได้ จะดีมากๆ ไป 100%ได้ มันจะกลายเป็นมหาวิทยาลัยตัวอย่างเลย และอาจสนับสนุนให้ทางมหาวิทยาลัยสานต่อเรื่องนี้...”[86]

“...ผมว่า โซล่าเซลล์มีความจำเป็นในอนาคต และในตอนนี้เพราะมันจะช่วยลดค่าใช้จ่าย นอกจาก มช. จะผลิตพลังงานใช้เองโซลาร์เซลล์มันสามารถผลิตได้และตอนนี้ถึงแม้นมันอาจจะผลิตได้น้อย แต่ก็ทำไปก่อน ในอนาคตก็ควรเพิ่ม มีความจำเป็นมากๆ ตรงนี้จะไม่ค่อยเห็นการเปลี่ยนแปลง เพิ่งมารู้ตอนนี้แหละ 6.5 เต็ม 10...”[87]

          นักศึกษาทั้งสามคนให้ความความคิดเห็นเชิงบวกและรับรู้ได้ต่อการพัฒนาด้านพลังงานอัจฉริยะของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ได้ดำเนินการปฏิบัติต่อเนื่อง โดยเห็นว่าเป็นก้าวสำคัญและจำเป็นในด้านพลังงาน ซึ่งการพัฒนาเป็นไปทิศทางที่เหมาะสมในการสร้างมหาวิทยาลัยที่ยั่งยืนไปยังอนาคต และเล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาด้านพลังงานอัจฉริยะทั้งต่อมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และนำไปใช้กับเมืองทั่วประเทศ ส่วนหนึ่งได้รับรู้ถึงความตั้งใจและความพยายามในการผลักดันเรื่องพลังงานสะอาดและการการพัฒนาด้านพลังงานอัจฉริยะของมหาวิทยาลัย     อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในด้านการพัฒนาด้านพลังงานอัจฉริยะของมหาวิทยาลัยให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และขยายการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานสะอาดเข้าใกล้ 100% ต่อเนื่องไปในอนาคตหรือมากกว่าปัจจุบัน เพราะบางส่วนยังไม่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากนัก และบางส่วนระบุว่าการการสัมผัสรับรู้ในด้านนี้เป็นไปได้ยากกว่าด้านอื่น ๆ เพราะ พลังงานไม่เป็นรูปธรรม เห็นจับต้องได้ยากกว่าด้านอื่น ๆ เช่น ด้านขนส่งหรือสิ่งแวดล้อม แต่เห็นจากติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Roftop) ที่เกิดขึ้นทั่วมหาวิทยาลัยมากกว่า มหาวิทยาลัยอาจต้องมีการสร้างการรับรู้พร้อมกับการประชาสัมพันธ์ในด้านนี้เพิ่มมากขึ้น ไปรพร้อม ๆ กับการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่นักศึกษาได้เห็นถึงความสำคัญและสร้างจิตสำนึกในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ต่อไปยังอนาคต นมุมของความสำเร็จจากนักศึกษา-ผู้มีส่วนได้เสียที่สัมผัสได้อย่างเป็นรูปธรรมในด้านการพัฒนาด้านพลังงานอัจฉริยะอยู่ในระดับ ประสบผลสำเร็จถึงในระดับหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างดีมาก


6.  การพัฒนาด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy)

การนิยามความหมายของการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy)

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้นิยามว่า หมายถึง เมืองที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในระบบเศรษฐกิจและบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เมืองเกษตรอัจฉริยะ เมืองท่องเที่ยวอัจฉริยะ เป็นต้น[57]

          การกำหนดเป้าหมายการพัฒนาเศรฐกิจอัจฉริยะ

          เพื่อสร้างรูปแบบเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่และชุมชนรอบข้าง มีโครงการสำคัญระบบการทำธุรกรรม ทางอิเล็กทรอนิกส์ และการจ่ายเงินผ่าน e-Wallet ทุกจุดขายและบริการ สร้างระบบบริหารการศึกษา มีเป้าหมายรองรับการทำธุรกรรมการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Digital payment system/Cashless Society) ครอบคลุม 100% ของพื้นที่ และข้อมูลการท่องเที่ยว (Smart Education and Tourism) เพื่อรองรับการการท่องเที่ยวแบบใหม่ด้วย Virtual Reality Guide และระบบน าทางภายใน อาคาร (Indoor GPS) ซึ่งผู้ประกอบการ/ธุรกิจนำข้อมูล อาทิการวิเคราะห์พฤติกรรมนักท่องเที่ยว มา ใช้ประกอบการด าเนินธุรกิจ และก่อนให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 10%[126]

          6.1)  การดำเนินการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะและผลผลิตอัจฉริยะที่ส่งมอบ

                    6.1.1) การดำเนินการไปสู่สังคมมหาวิทยาลัยที่ไร้เงินสด (Cashless Society)

                    มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เริ่มดำเนินการในการเปลี่ยนแปลงจากสังคมเงินหรือใบธนบัตรจริงไปสู่ระบบการชำระจ่ายเงินแบบออนไลน์ด้วยการสร้างระบบการจ่ายเงินผ่าน QR Code (Quick Response) การเงินอิเล็กทรอนิกส์ และใช้ระบบบัตรเครดิตหรือเดบิตและบริการการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-payment) อาทิเช่น  การชำระค่าลงทะเบียนเรียน ค่าหอพัก ค่าธรรมเนียมในการทำบัตรผ่านรถยนต์ ค่าปรับค้างชำระของสำนักหอสมุดของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ในด้านสังคมชุมชนของมหาวิทยาลัย รวมไปถึงร้านอาหารในหอพัก ค่าบ้านพักของบุคลากร ในโรงอาคาร ร้านถ่ายเอกสาร และสะดวกซื้อในที่มหาวิทยาลัยมีการส่งเสริมให้มีการชำระเงินแบบออนไลน์ และได้กระจายเครื่องรูดบัตร EDC (Electronic Data Capture) เป็นจำนวน 60 เครื่อง กระจายไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ที่สำคัญภายในมหาวิทยาลัย อีกทั้ง ซึ่งได้ดำเนินการตามเป้าหมายตามแผนที่กำหนดไว้ เกิดขึ้นในปี 2019 ในภาคเรียนแรก[88]

                    6.1.2) การก่อตั้งบริษัทอ่างแก้วโฮลดิ้งและอ่างแก้วสตาร์ทอัพ จำกัด

          มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการก่อตั้ง บริษัทอ่างแก้ว โฮลดิ้ง จำกัด (Angkaew Holding Company Ltd. : AKH) จากความเห็นชอบจากมติของสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขึ้นตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งให้เป็นไปตามนโยบาย “University Holding Company” ของ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) บริษัทอ่างแก้ว โฮลดิ้ง จำกัด ได้ขยายบริษัทลูก เครือได้แก่ 1. บริษัท อ่างแก้วสตาร์ท อัพ จำกัด (Angkaew Start up Company Ltd. : AKS) เป็นบริษัทที่สนับสนุนให้แก่บุคลากรในมหาวิทยาลัยและนักศึกษา และองค์กร/หน่วยงาน/ส่วนงานในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในด้านการนำองค์ความรู้ นวัตกรรม ทรัพย์สินทางปัญญาและผลผลิตที่เกิดขึ้นไปต่อยอดทางธุรกิจและเชิงพาณิชย์ 2. บริษัทพลังงานนครพิงค์ (Energy Nakornping Company Ltd.) ที่แตกตัวใหม่ (Spin-off) จากสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ (ERDI-CMU) ที่นำองค์ความรู้ของสถาบันในด้าน สิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด การจัดการด้านสิ่งแวดล้อมไปสร้างเป็นสินค้าและบริการเชิงพาณิชย์นอกจากยังมี 3. บริษัทอื่น ๆ บริษัท บีเอเอเค จำกัด (BAAK Company Ltd.) 4. บริษัท AKIP Venture Company Ltd โดยการจัดตั้งบริษัทเอเคไอพี เวนเจอร์ ในความร่วมมือกับบริษัท อ่างแก้ว โฮลดิ้ง ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับบริษัท อินเทลเล็คชวล ดีไศน์ กรุ๊ป จำกัด เพื่อนำผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกไปตั้งเป็นธุรกิจเชิงพาณิชย์ 5.บริษัทเกษตรแก้ว เป็นต้น[89] บริษัทอ่างแก้ว โฮลดิ้ง และบริษัทในเครือมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นอกจากได้ประโยชน์ด้านการเพิ่มความสามารถของมหาวิทยาลัยไปสู่เชิงพาณิชย์แล้วยังเพิ่มความคล่องตัวด้านกฎระเบียบ ข้อบังคับ การซื้อขายทรัพย์สินทางปัญหาของหน่วยงานไปสู่เชิงธุรกิจและพาณิชย์ ในการจัดซื้อจัดจ้างและการลดขั้นตอนในการซื้อขายทรัพย์สินทางปัญญาจากนวัตกรรมและองค์ความรู้ จากการค้นคว้าวิจัยในหน่วยงานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ส่งผลให้มหาวิทยาลัยเพิ่มความยืดหยุ่นและความคล่องตัวในการดำเนินงานต่างๆ และมีการแสวงหารายได้เข้ามาในด้านเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น

         โดยยกตัวอย่างความเชื่อมโยงกับบริษัทอ่างแก้ว โฮลดิ้ง และบริษัท อ่างแก้วสตาร์ท อัพ บริษัทลูกที่เกิดขึ้นเฉพาะเจาะจง สำหรับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) กับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เป็นการลดขั้นตอนในการจัดซื้อจัดจ้าง (Procurement) เกิดความคล่องตัวในการแสวงหารายได้ทางเศรษฐกิจให้เข้ามาสู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพิ่มขึ้น เช่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น และเทศบาลเมืองยะลา เป็นสององคากรที่ให้การยอมรับและต้องการนำระบบ CMU Smart Gate (ประตูมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อัจฉริยะ) ตามภาพ . ที่เกิดขึ้นจากพัฒนาสร้างขึ้นจากสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ (ERDI) และดำเนินการร่วมกับศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน (SCMC) ในการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งและการดำรงชีวิตอัจฉริยะ ซึ่งเป็นระบบติดตามการเข้า-ออกของ ยานพาหนะ, บุคคลทั้งหมด ประกอบด้วย เช่น กล้อง CCTV/LPR, ซอฟต์แวร์ AI/Machine Learning การรายงานแสดงด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์ ไปใช้ในองค์การตนเอง โดยการขายเทคโนโลยี/นวัตกรรม อัจฉริยะผ่านบริษัท อ่างแก้ว สตาร์ทอัพ (AKS) สร้างได้กลับไปยังมหาวิทยาลัย ราว ๆ 10 ล้านบาท*[90]

          บริษัทอ่างแก้ว โฮลดิ้ง  มีรายได้ในปี 2023 1.2 ล้านบาท และสินทรัพย์รวม 13.1 ล้านบาท รายได้ในปี 2022 ประมาณหนึ่งล้านบาท[91] มีเนื่องจากการทำการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) มีความยากลำบากและมีอุปสรรคด้านกฎหมายและข้อบังคับ ตามแนวคิด University Holding Company เกิดเป็นบริษัทอ่างแก้ว โฮลดิ้ง จำกัดขึ้นครั้งแรกโดยมติการอนุมติของสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในปี 2018 เกี่ยวกับด้านเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะผ่านบริษัท อ่างแก้ว สตาร์ทอัพ เกี่ยวกับด้านอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ กับการวิจัยในมหาวิทยาลัยออกไปสู่เชิงพาณิชย์ จะผ่านบริษัทเอเค ไอพี เวนเจอร์ จำกัด

                    6.1.3)  โครงการ MORe SPACE ถนนนิมมานเหมินท์

          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ดำเนินการโครงการ “MORe SPACE” โดยใช้พื้นที่บริเวณไร่ฟอร์ด-นิมมานเหมินท์ ซึ่งแต่เดิมเป็นพื้นที่โล่งได้รับการจัดสรรและปรับปรุงพัฒนาขึ้นเป็น ตลาดนัด เพื่อ สร้างเป็นแห่งรวมตัวของผู้คน (Community) เพื่อการดึงดูดนักท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างในการเม็ดเงินหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจแก่ท้องถิ่น รวมถึงส่งเสริมการต่อยอดในโอกาสช่องทางธุรกิจ ใหม่ เกิดงาน เกิดรายได้ และสร้างอาชีพให้แก่ นักศึกษาปัจจุบันและศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และประชาชนทั่วไปผู้ที่สนขายสินค้าเพื่อสร้างรายได้ทั้งจากพื้นที่อื่นและประชาชนรอบมหาวิทยาลัยได้เข้ามามีส่วนร่วมและเข้ามาเปิดบูธขายสินค้าโดยแบ่งออกเป็น 3 โซนได้แก่ ลานชอ, คีออสและไนท์มาร์เก็ต เปิดตั้งแต่เวลา 11.00 น. จนถึงเวลา 22.00 น.[92]

รูปภาพประกอบด้วย กลางแจ้ง, ท้องฟ้า, ต้นไม้, ถนน

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 17. แสดงบรรยากาศโครงการ MORe SPACE ตลาดนัดบนไร่ฟอร์ด ถนนนิมมานเหมินท์

(ที่มา : ภาพถ่ายสร้างโดยผู้เขียน, 22 ธ.ค., 2567)

                    6.1.4)  การบริหารจัดการทรัพยากรภายในขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

          ตามที่มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการพัฒนาด้าน Smart Energy และ Smart Environment หนึ่งในกลไกที่สนับสนุนการพัฒนาดังกล่าวคือการออกนโยบายและมาตรการในการสนับสนุน ได้แก่ นโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานและสำนักงานสีเขียวสำหรับบังคับใช้ในหน่วยงานและบุคลากรภายในเพื่อส่งเสริมให้บุคลากรภายในมหาวิทยาลัยมีจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม มีทัศนคติ พฤติกรรม โดยการใช้ทรัพยากรได้แก่ น้ำประปา ไฟฟ้า กระดาษ เชื้อเพลิง เป็นต้น อย่างเกิดความประหยัด เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุดให้เกิดขึ้นแก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวมถึงนโยบายสำนักงานสีเขียวที่นำมาใช้ในบางหน่วยงานอีกด้วย โดยที่ผ่านมาส่งผลให้มหาวิทยาลัย มีข้อมูลที่สามารถติดตามได้นำมาสู่การบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรภายในมหาวิทยาลัยแต่ละหน่วยงานแบบด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์อย่างเป็นระบบ พัฒนาไปสู่การบริงานงานอัจฉริยะ (Smart Governance) โดยสามารถเห็นตัวเลขเชิงประจักษ์ ส่งผลให้มหาวิทยาลัยและหน่วยงานภายในต่าง ๆ สามารถลดงบประมาณและทรัพยากรทางธรรมชาติ น้ำประปา ไฟฟ้า เชื้อเพลิง กระทบที่เสียไปอย่างสิ้นเปลืองสูญเปล่าลดลงต่อเนื่อง เป็นงบประมาณจำนวนหนึ่งแม้นเป็นตัวเลขที่ไม่มากนัก แต่ก่อให้เกิดความประหยัด และใช้ทรัพยากรที่ยั่งยืนขึ้นและเข้าใกล้การใช้ทรัพยากรภายในที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ภาพหน้าจอ, จำนวน, ขนาน

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 18. แสดงปริมาณการใช้น้ำประปา ของแต่ละหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยแบบเรียลไทม์

(ที่มา : [93])

                    6.1.5)  การดำเนินงานของ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STeP)

          แม้ว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้กำหนดเป้าหมายในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) ไว้ที่การสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงกำหนดให้อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Park of Chiang Mai University: STeP) เป็นหน่วยงานที่มีส่วนร่วมหลักในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะทั้งตามกลไก SODU และเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ การยกระดับการพัฒนามหาวิทยาลัยเชียงใหม่อัจฉริยะ ทั้งนี้ผู้เขียนเห็นว่า แม้นมหาวิทยาลัยไม่ได้กำหนดว่าการสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นเป้าหมายในการพัฒนาด้าน Smart Economy ผู้เขียนเห็นว่า หนึ่ง มหาวิทยาลัยไม่ได้กำหนดเป้าหมายไว้แต่แรก สอง หากกำหนดเป้าหมายในด้านการสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายวิสัยทัศน์องค์การ รวมถึงการระบุอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เข้ามามีบทบาทสนับสนุนในวาระการพัฒนาเมืองอัจฉริยะนั้น อาจส่งผลให้สเกลการพัฒนาเมืองอัจฉริยะมีขนาดใหญ่เกินไป มีความรับผิดชอบภารกิจที่ยกระดับไป รวมถึงอาจสร้างภาระให้กับ STeP เพิ่มขึ้น      แต่การสร้างผลกระทบและบทบาทการดำเนินงานของ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STeP) นั้นมีส่วน และมีผลกระทบทางอ้อมต่อการยกระดับด้านเศรษฐกิจที่เกิดประโยชน์แก่นักศึกษาและชุมชนรอบมหาวิทยาลัย และหน่วยงานภายนอกโดยมีส่วนในการสร้างมูลค่าเชื่อมโยงและรายได้ให้กับมหาวิทยาลัยในด้านอุตสาหกรรมและการวิจัยเชิงพาณิชย์ประมาณ 300 กว่าล้านบาทและเกิดผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ 2 พันกว่าล้านบาทตลอดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานับแต่ปี 2565-2566 และสามารถช่วยสนับสนุนในเป้าหมายวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยหนึ่งในการสร้างสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมได้อีกด้วย

          โดยอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เกิดจากความร่วมมือในคณะ 7 คณะ ได้แก่ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรมศาสตร์ บริหารธุรกิจ สถาปัตยกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ วิทยาลัยศิลปะ สื่อและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดย ทำหน้าที่เป็นตัวกลางและผู้สร้างความร่วมมือระหว่าง ภาคธุรกิจ ชุมชน รัฐบาลและสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาเข้าหากัน และผลักดัน การวิจัย องค์ความรู้ เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยออกไปสู่ภายนอกในเชิงพาณิชย์ และตอบสนองความต้องการของภาคเอกชน โดยมีการดำเนินงานและบทบาทที่ผ่านมาในด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ การวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรมและอุตสาหกรรม ดังนี้

          1) การผลักดันเทคโนโลยี องค์ความรู้ ออกไปสู่ภายนอกเชิงพาณิชย์ (Inside Out) งานวิจัยของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ถ่ายทอดให้แก่ภาคเอกชนและหน่วยงานภายนอกมากขึ้น ซึ่งงานวิจัยที่มีภายในนั้นมักจะเกิดขึ้นจากความสนใจหรือความถนัดของนักวิจัย ซึ่งไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการเอกชนตั้งจึงได้จับคู่งานนวิจัยไม่กี่ชิ้น ที่สอดคล้องกับสิ่งที่เอกชนต้องการ สร้างองค์ความรู้ ทางทำธุรกิจได้เป็นคุณค่าทางธุรกิจ โดยได้มีการบริหารทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิบัตรการประดิษฐ์, PCT และการออกแบบ เครื่องหมายการค้า และอนุสิทธิบัตรรวม 41 คำขอดำเนินร่วมกับบริษัท เอเคไอพี เวนเจอร์ จำกัด (AKIP) บริษัทลูกของอ่างแก้ว โฮลดิ้ง จำกัด การให้การอนุมติการขออนุญาตใช้สิทธิเทคโนโลยี (Technology Licensing) จากภาคเอกชน

        2) การดำเนินงานร่วมกับเอกชน (Out Side In)  เปิดโอกาสตามความของภาคเอกชน โดย STeP มีบทบาทในการไปแสวงหานักวิจัยและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของเอกชน เช่น โครงการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและการวิจัยภาคเอกชนในพื้นที่ (Industrial Research & Technology Capacity Development Program (IRTC)), โครงการพัฒนากระบวนการการวิจัยของผู้ประกอบการ ที่มีผู้เข้าร่วม 24 ราย และ Celebrative Research Program เป็นต้น

        3) การดำเนินโครงการภายในปี 2566 เป็นจำนวน 8 โครงการได้แก่  โครงการบ่มเพาะและพัฒนาทักษะเทคโนโลยีเชิงธุรกิจสู่การสร้างเกษตรกรอัจฉริยะ (Smart Farmer), กิจกรรมจับคู่ธุรกิจงานเกษตรภาคเหนือครั้งที่ 10, โครงการเสริมสร้างศักยภาพและส่งเสริมผู้ประกอบการไทยสู่ความยั่งยืนระยะที่ 2 และโครงการสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่สู่ธุรกิจ Tech Startup ภายใต้กิจกรรมการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการจากกระบวนการ Spin-out และวิสาหกิจ เริ่มต้นที่มีศักยภาพสูง เป็นการส่งเสริมการเร่งการเติบโตของ SMEs และบริษัทใหม่ 20 ราย เกิดโรงงานต้นแบบเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียง (Technology Pilot Plant) ได้แก่ โรงงานต้นแบบกำจัดแมลงและไข่แมลด้วยเทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุ (UTD RF) และโรงงานต้นแบบนวัตกรรมอาหารครบวงจร

        4) ส่งเสริมการเกิดขึ้นของผู้ประกอบการหน้าใหม่ (Spin-off) ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ได้ก่อตั้ง STeP ก่อให้เกิดบริษัทใหม่ขึ้นเป็นจำนวน 380 ราย หลังจากนั้นได้อยู่รอดราว ๆ 50-60 บริษัท หลังจากนั้นยังคงไม่ล้มเลิกยังคงเติบโตในปัจจุบัน ที่ยังได้ไปต่อเติบโตราว ๆ 30 บริษัท มูลค่าส่วนใหญ่จะเกิน 300 ล้านบาท (Pony) นำไปสู่โปรแกรม Base Camp 24 Build CMU เพื่อเพิ่มการเกิดขึ้นของผู้ประกอบการหน้าใหม่โดยการเปลี่ยนแนวคิดการโตของธุรกิจ ในปี 2022

                4.1) Base Camp 24 การเปลี่ยนแนวคิดการโตของธุรกิจ ในปี 2565 เกิดเป็นโปรแกรมในการบ่มเพาะธุรกิจสำหรับผู้ประกอบหน้าใหม่และSMEs

                4.2) Build CMU เป็นโปรแกรมสำหรับสนับสนุนให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กลายเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่แบบครบวงจรด้วย 5 องค์ประกอบได้แก่ Entrepreneurial Course Plug In, Education Sandbox, Incubation Program, Startup Club และ Financial Support Mechanism เพื่อนำกลุ่มนักศึกษาเหล่านี้ไปสู่การเข้าไปยังโปรแกรม Base Camp 24 ต่อไปในปี 2566 มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม 9 กิจกรรม 2,000 คนเกิดทีมสตาร์ท อัพตามโปรแกรมเป็นจำนวน 100 ทีม[94],[95] ตั้งอยู่บริเวรศูนย์สุขภาพมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

          6.2)  ผลลัพธ์จากการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะ

          โครงการ MORe SPACE เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนผู้อาศัยรอบมหาวิทยาลัย บุคลากรและนักศึกษาในมหาวิทยาลัยสร้างรายได้จากการค้าขายธุรกิจส่วนตัว โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวซึ่งยังไม่ประสบความสำเร็จอย่างมีผลกระทบเท่าใด ในขณะที่ การดำเนินการไปสู่สังคมมหาวิทยาลัยที่ไร้เงินสด (Cashless Society) มีการดำเนินธุรกรรมการเงินผ่านระบบออนไลน์มากขึ้นตั้งแต่ การใช้จ่ายภายใน การชำระค่าธรรมเนียมการศึกษา เป็นต้น ลงทะเบียนเรียน

          การจัดตั้งบริษัทอ่างแก้ว โฮลดิ้ง จำกัด ตามนโยบาย University Holding Company ส่งผลให้มหาวิทยาลัยมีความยืดหยุ่นและความคล่องตัวในการดำเนินงานต่าง ๆ มากขึ้น ทั้งในด้านการจัดซื้อจัดจ้าง (Procurement) การซื้อขายระบบเทคโนโลยี นวัตกรรมอัจฉริยะที่เกิดขึ้นจากกาพัฒนาเมืองอัจฉริยะตามนโยบายในด้านต่าง ๆ กระทำการผ่านบริษัทลูก อ่างแก้ว สตาร์ทอัพ (Angkaew Start up Co.,Ltd.) รวมถึงในด้านด้านสตาร์ท อัพ รวมถึงอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ กับการวิจัยในมหาวิทยาลัยออกไปสู่เชิงพาณิชย์ กระทำผ่านบริษัทเอเค ไอพี เวนเจอร์ จำกัด (AKIP Venture Co.,Ltd.) โดยรวมแล้วส่งผลให้มหาวิทยาลัยสามารถแสวงหารายได้เข้ามาในด้านเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นจากเดิม

          การดำเนินงานของ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STeP) และการสร้างผลกระทบภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจออกไปสู่ภายนอก แม้ว่า มหาวิทยาลัยไม่ได้กำหนดเป้าหมายในการสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมไว้ในด้านการพัฒนา Smart Economy รวมถึงกำหนดให้อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไว้เป็นองค์กรหลักที่ขับเคลื่อนการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะของมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีส่วนช่วยสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยบรรลุตามเป้าหมายวิสัยทัศน์ และสนับสนุนด้านการสร้างรายได้ ธุรกิจให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยกลายเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ สนับสนุน ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม ให้เกิดการตอบสนอง ความเชื่อมโยง และการประสานงานความร่วมมือเข้ากับมหาวิทยาลัย บุคลากรในมหาวิทยาลัยที่มีการวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรมออกไปสู่ภายนอกในเชิงพาณิชย์     ในด้านการสร้างผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม (Socio-economic Impacts) จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ภายใต้บทบาทของอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ออกไปสู่ภายนอก ในปี 2022 เป็นจำนวน 343.5 ล้านบาทและปีงบประมาณ 2566 เป็นจำนวน 363 ล้านบาท มีจำนวนผู้ประกอบการหน้าใหม่ (Startup) 72 บริษัท และ 73 บริษัทในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ โดยในปี 2565 สามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจฯ เป็นจำนวน 1,966.7 ล้านบาท     โดยในปี 2023 สามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจฯ 2,625 ล้านบาท และตามแนวคิดการสร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ให้แก่มหาวิทยาลัยในการเชื่อมโยงภาคอุตสาหกรรมต่อยอดนวัตกรรมและการวิจัยเชิงพาณิชย์ (Total Value Creation) 363 ล้านบาท รายได้จากการร่วมมือกับเอกชน 29 ล้านบาท  มีนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เข้าร่วมในโครงการเพื่อสร้างเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่จำนวน 880 คน มีจำนวนบริษัทของผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เกี่ยวข้อง 72 บริษัท ร่วมกับเอกชน 590 โครงการ และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นจำนวน 2,625 ล้านบาทโดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในแต่ละปี นอกจากนี้รายได้จากองค์กร 20% จำนวน 2 ล้านบาทได้กลับไปเป็นรายได้ให้กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

          ในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรภายในขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ด้วยการนำข้อมูลมาใช้ (Data-Driven) ร่วมกับการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานอัจฉริยะ (Smart Environment & Smart Energy) ส่งผลให้มหาวิทยาลัยและหน่วยงานภายใน สามารถบริหารจัดการทรัพยากร ได้แก่ น้ำประปา กระดาษ เชื้อเพลิง ไฟฟ้า ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่าลดการสูญเสียทรัพยากรทางธรรมชาติไปแบบสิ้นเปลือง สามารถติดตามข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ตามนโยบายด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัย และสำนักงานสีเขียว เช่นในตามภาพ . องค์กร/หน่วยงานหนึ่ง เช่น สำนักงานหอสมุด (CMUL) ในด้านการใช้ไฟฟ้า น้ำประปา เชื้อเพลิง และกระดาษ สามารถลดการใช้ลงไปได้ 1 % ต่อปี จากมาตรการตามนโยบายที่ให้บุคลากรประหยัดและสร้างจิตสำนึกในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น สามารถประหยัดการใช้ไฟฟ้า 30743.8 บาทต่อปี ในหน่วยงานเดียว โดยรวมในหลาย ๆ องค์กร ส่งผลให้ทั้งองคาพายพมหาวิทยาลัยประหยัดงบประมาณได้ จำนวนหนึ่งแม้นจะเป็นตัวเลขที่ไม่มากหนัก แต่ส่งผลให้การใช้ทรัพยากรในด้าน ไฟฟ้า น้ำประปา ที่คุ้มค่า มีประสิทธิภาพมากขึ้นเข้าใกล้ความมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดความสูญเสียไปแบบสิ้นเปลืองทั้งงบประมาณและทรัพยากรก่อให้เกิดความยั่งยืนเพิ่มขึ้น สามารถเกิดการบริหารงานอัจฉริยะในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นไปสู่หน่วยงานภายในสามารถติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์ เห็นตัวเลขเชิงประจักษ์

          6.3)  ผลความสำเร็จการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะ

          จากการรับรู้และการสัมผัสตามประสบการณ์โดยตรงของบรรดาผู้นำนักศึกษา ฐานะกลุ่มเป้าหมายสำคัญในโครงการ CMU Smart City ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลและรับบริการโดยตรงจากการพัฒนาด้านที่ 6 : เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) โดยได้แสดงทัศนคติความคิดเห็นระบุไว้ คือ

...ผมว่า ผมเห็นด้วยสนับสนุนกับระบบการใช้เงินค่าเทอมออนไลน์ ผ่าน QR Code อะไรพวกนี้ ผู้ปกครองจะได้เกิดความสะดวกช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มความสะดวก อันนี้สำคัญมาก แต่ถ้าเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่ายทรัพยากรของหน่วยงานต่างๆ มันยังไม่ได้สำคัญ การพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ในมช. มันไม่ได้เห็นผล MORe SPACE ยังไม่เป็นที่นิยมเริ่มปิดตัวซบเซาอาจจะยังขาดเรื่อง PR ส่วนการสตาร์ท อัพ จำเป็นมากในยุคนี้มันเกี่ยวข้องกับหลายคณะ ประมาณนั้น ความสำเร็จด้านเศรษฐกิจคิดว่าอยู่ในระดับ 4 เต็ม 10...[96]

...ในด้าน Smart Economy น้อยสุด คิดว่ายังล้มเหลว มันไม่เห็นภาพอะ มันแยก เป็นส่วน ไม่เห็นอะไรมาประกอบเป็นภาพในการยกระดับเศรษฐกิจของ มช. หรือของชุมชนรอบม.ได้เลย เบาบาง มช. ก็แสวงหารายได้ตามปกติ แล้วการพัฒนาด้านนี้มันไม่ได้สนับสนุนมีผลต่อรายได้มช.เกิด Impact ได้ขนาดนั้น และการใช้จ่ายแบบ Cashless สแกนจ่าย มันก็เป็นไปตาม Trends สังคมอยู่แล้ว ไม่ได้ว้าว ไม่ได้แปลกใหม่อะไร เป็นเรื่องที่ต้องทำปกติ...[97]

...ถ้าเฉพาะในเรื่องสตาร์ทอัพ หนูคิดว่าประสบความสำเร็จคะ เพราะว่า มันก็มีช่วงปี 2 ที่หนูไปเข้าโครงการสตาร์ทอัพอยู่เหมือนกัน แล้วก็เห็นการเติบโตของสตาร์ทอัพแบบว่ามันเร็วมากๆ เพราะว่า แบบปี2 มันจะมีอยู่ไม่กี่ที่แค่ STeP (อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) กับการ Matching แต่ตอนนี้เหมือนแบบในมช. เรามีโครงการ มีศูนย์สตาร์ทอัพขึ้นมาอยู่ที่ไผ่ล้อม คิดว่ามันโตเร็วมากคะ ส่วนด้านผลกระทบด้านเศรษฐกิจส่วนตัวคิดว่าไม่ได้มีผลกระทบอะไรขนาดนั้น มีผลแค่ในมหาวิทยาลัย แต่กับตัวนักศึกษายังไม่ได้มีผลกระทบในตอนนี้...[98]

...สำหรับนักศึกษาที่สนใจแต่มีสัดส่วนที่เล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับนักศึกษาทั้ง มช. มันก็ช่วยคนอยากจะทำ นะคะ เพราะแบบว่าถ้าเราแบบทำโครงการสตาร์ทอัพขึ้นมา เราก็จะคุยกับผู้ประกอบการและอาจารย์ที่ปรึกษา เหมือนแบบเราได้ฝึกลองสนามเอง จริงๆ แล้วหากนักศึกษาเรียนจบแล้วอยากต่อยอดก็มีพื้นฐานอะไรแบบนี้อยู่ มันก็ช่วยต่อยอดได้ มีเพื่อนพูดว่านักศึกษาเข้าถึงยังน้อยอยู่อย่างหนูก็เพิ่งมารู้เมื่อตอนอยู่ปี 2 พอเราเห็นว่ามันมีมันก็จะเห็นเรื่อย ๆ แต่ถ้าใครไม่รู้ก็จะไม่เห็นเลย ไม่เข้าถึงได้เลย...[99]

          พบว่า ความสำเร็จในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะ อยู่ในระดับยังล้มเหลวอยู่ส่วนหนึ่งและไม่เห็นผลเป็นที่ประจักษ์ และไม่เห็นผลภาพการเปลี่ยนแปลงมากนัก และไม่เกิดผลกระทบแก่มหาวิทยาลัยและชุมชนที่เป็นรูปธรรมในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งการส่งเสริมสตาร์ทอัพเป็นสิ่งที่นักศึกษาส่วนหนึ่งเห็นว่าประสบความสำเร็จแต่ยังมีนักศึกษาเข้าถึงในสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนนักศึกษาทั้งหมด และการชำระค่าลงทะเบียนผ่าน QR และสร้างสังคมไร้เงินสด ช่วยเกิดความสะดวกช่วยประหยัดเวลาเป็นสิ่งที่ดีที่มหาวิทยาลัยพึงทำเป็นเรื่องปกติให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและเทคโนโลยี


7. การพัฒนาด้านการบริหารงาน มหาวิทยาลัย/เมืองมหาวิทยาลัยอัจฉริยะ (Smart Governance)

          การนิยามความหมายด้านการพัฒนาการบริหารอัจฉริยะ (Smart Governance)

          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้นิยามว่า หมายถึง เมืองที่พัฒนาระบบข้อมูล (Big Data) และระบบบริการภาครัฐ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ โดยมุ่งเน้น ความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม และมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องผ่านการประยุกต์ใช้นวัตกรรมบริการ[57] การบริหารงานอัจฉริยะ (Governance)ในการวิจัยนี้ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นองค์การด้านการศึกษามีบริบทที่แตกต่างจากการบริหารงานภาครัฐอัจฉริยะ (Government)

          การกำหนดเป้าหมายการพัฒนาการบริหารงานอัจฉริยะ

           เพื่อก่อให้เกิดการบริหารจัดการอัจฉริยะที่มี ประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ (เพิ่มธรรมาภิบาล, Good Governance)โดยมีการพัฒนาช่องทางการสร้างการมีส่วนร่วมของบุคลากรและชุมชนโดยรอบ ได้แก่ หมู่บ้านไผ่ล้อม/ฝายหิน/อ่างแก้ว/เชิงดอย/ริมคลอง1-2/สุเทพ1-8/คณะแพทย์ และ ชุมชนห้วยแก้ว/หน้า มช./อ่างแก้ว/วัดประทานพร/คลองชลประทาน/สุเทพ/ศิริมังคลาจารย์/นิมมานเหมินทร์ เพื่อสร้างความมั่นใจและการมีส่วนร่วมของบุคลากรและชุมชน จึงจัดทำช่องทางการแสดงความคิดเห็นและข้อร้องเรียนผ่านทาง “CMU Application” นอกจากจะให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลต่างๆ แล้วยังสามารถแสดงข้อคิดเห็นได้อย่างสะดวกไม่น้อยกว่า 60 %[126]

          7.1)  การดำเนินการพัฒนาด้านการบริหารงานอัจฉริยะและผลผลิตอัจฉริยะที่ส่งมอบ

          แนวทางการบริหารที่นําไปสู่ความสำเร็จของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

          1. กลไกการขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ 1.1) กลไกการทบทวนและปรับบทบาทหน้าที่ ของส่วนงาน ภายในมหาวิทยาลัย (CMU Internal Re-Profile) 1.2) หน่วยขับเคลื่อนการดําเนินงานตามวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Objectives Driving Unit : SODU) 1.3) การสนับสนุนงบประมาณและการสร้างความมุ่งมั่น (Budget Allocation and Internal Commitment) 1.4) การประเมินผลงานเชิงกลยุทธ์ และการให้รางวัล (Strategic Performance Measurement and Rewards) 1.5) การวิเคราะห์ข้อมูลและสารสนเทศอัจฉริยะ (Data Analysis and Intelligence Information) 1.6) การสื่อสารอย่างมีประสิทธิผล (Effective Communication) และ 1.7) การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)

          2. CMU-EdPEx นําเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการ ที่เป็นเลิศ (EdPEx) เป็นแนวทางในการบริหาร เพื่อให้ทุกส่วนงานภายในมหาวิทยาลัยได้ใช้ศักยภาพเพื่อนําไปสู่เป้าหมายเดียวกัน

          3. CMU Digital Transformation เพื่อขับเคลื่อนการเป็น Digital University ภายใต้การพัฒนาการดําเนินงานด้าน Digital Transformation มีแพลตฟอร์มดิจิทัลทางการศึกษา เพื่อรองรับการ เรียนการสอน การวิจัย การบริหารจัดการและบริการวิชาการ เพื่อรับใช้สังคม และชุมชน โดยอาศัยกลไกเทคโนโลยีเป็นสำคัญ

        4. การปรับโครงสร้างองค์กร (Agile & Resilient Organization) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพิ่ม ความคล่องตัว ลดการใช้ทรัพยากร ลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน ปรับตัวให้ ทันต่อการเปลี่ยนแปลง การออกแบบองค์กร โดยการมีส่วนร่วมของบุคลากร ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและผู้รับบริการ (Customer)

        5. กลไกสนับสนุนการริเริ่มและทดลองระบบใหม่ (Sandbox - Initiatives Mechanism) กลไกสร้างระบบสื่อสารทำความเข้าใจ (Get Idea/Initiation) เป็นการกระตุ้นให้เกิดการรับรู้ถึงกลไก เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของบุคลากรและส่วนงาน เปิดรับข้อเสนอจากส่วนงานที่เห็นว่ามีความจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบ Sandbox หลังจากได้รับข้อเสนอ Sandbox จากส่วนงาน จะมีการกลั่นกรอง พิจารณาประเด็นที่นําเสนอกรณี Sandbox จะมีการจัดประเภทเพื่อให้เกิดฐานข้อมูล การจัดการความรู้เพื่อใช้ในการ พิจารณาประเด็น Sandbox เรื่องใหม่ ๆ และเสนอผู้บริหารเพื่อขอรับ การอนุมัติให้ทดลองดำเนินการระบบใหม่ มีการจัดตั้ง Agile Team เพื่อ รับผิดชอบงานระบบใหม่ ในขั้นตอนนี้ ต้อง มีการติดตามประเมินผลเป็นระยะตามความเหมาะสม เพื่อหาข้อสรุปโดยอาจเป็นได้ทั้งการยุติการดําเนินงานหรือการต่อยอด การทดลองระบบงานใหม่หรือการถ่ายโอนและปรับปรุงให้เข้าสู่ระบบปกติ

        6. ระบบบริหารงานบุคคลรูปแบบใหม่ ระบบสรรหาบุคคลตามประสิทธิภาพ (Active Recruitment) ระบบบุคลากรสายวิชาการ ปฏิบัติงานเพิ่มเติมของส่วนงานต้นสังกัด (Double Appointment) ระบบสนับสนุนให้นักวิจัยเข้าไปปฏิบัติงานเพื่อแก้ไข ปัญหาและเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตให้กับภาคอุตสาหกรรม (Talent Mobility)

        7. Digital University นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงาน และบริการสาธารณะประกอบด้วย 1) Digital Infrastructure 2) Digital Administration 3) Digital Learning/Research and Community Services 4) Digital Security and Standards 5) Digital Faculties/ Students and Human Resources มุ่งสู่การเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัล เพื่อรองรับการยกระดับสู่ New S-Curve

          8. Big Data ในการบริการวิชาการ และบริหารจัดการเพื่อการบริหารจัดการได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลและนำมาใช้ เช่น ระบบบริหารจัดการน้ำ บริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ[100]

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ภาพหน้าจอ, เมนู, ตัวอักษร

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 19. แสดงยุทธศาสตร์ด้านการบริหารจัดการองค์รมุ่งสู่ความเป็นเลิศ SO6 ในนโยบายเป้าหมายการบริหารงาน ตามวิสัยทัศน์ของแผนพัฒนาการศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระยะที่ 13

(ที่มา :785)

           ยุทธศาสตร์เชิงรุกที่ 6 คือ การบริหารจัดการมหาวิทยาลัยไปสู่มหาวิทยาลัยดิจิทัล โดยการนำเอานวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้ทุกองคาพายพ (CMU Excellence Management Platform) ที่ทำให้องค์การมีความคล่องตัวและยืดหยุ่น (Agile & Resilient) และมีการดำเนินงานและบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ นำระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาสนับสนุน โดยแนวทางในการพัฒนาระบบดิจิทัล 1) การยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน ระบบดิจิทัลและเครือขายในมหาวิทยาลัย (Organized & Digital Infrastructure)  2) บูรณาการการดำเนินการและบริหารงานด้วยดิจิทัล (Integrated Digital Operation & Administrations) 3) การพัฒนาการเรียนรู้ ทรัพยากรบุคคลในมหาวิทยาลัยด้วยเทคโนโลยี ดิจิทัล (Digital Platforms for Learning & HRD) 4) การส่งเสริมการบูรณาการข้ามส่วนงาน (Collaboration) 5) การส่งเสริมบุคลากรของมหาวิทยาลัยให้มีความตระหนักรู้ในความสำคัญและประโยชน์ของเทคโนโลยี ระบบที่เกี่ยวข้อง (Digitalized Mindset & Culture)[101]

          7.2)  หน่วยงานผู้ขับเคลื่อนหลัก : สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

          ภายใต้แผนพัฒนาการศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ระยะที่ 13 (พ.ศ. 2566-2569 สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Service Center : ITSC) เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านดิจิทัลของมหาวิทยาลัย เพื่อสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยไปสู่ความเป็นดิจิทัล และะสนับสนุนในการบริหารจัดการองค์กรเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ (CMU Excellence Management Platform) ทั้งในส่วนของระบบสารสนเทศ (Information Systems) โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและข้อมูล[102] ซึ่งเกี่ยวข้องสนับสนุนกับในด้านพัฒนาการบริหารอัจฉริยะ (Smart Governance) นำดำเนินการผลักดันสนับสนุนในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการบริหารงานในองค์กร/หน่วยงานภายใน โดยมีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะดังนี้

                   ภารกิจแรก ในด้านการจัดทำและพัฒนาด้านเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี (Technology Infrastructure) และฮาร์ดแวร์ มอบให้กับมหาวิทยาลัยและสนับสนุนองค์กรภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ส่วนต่าง ๆ

                    ภารกิจที่สอง มีบทบบาทนำและดูแลรับผิดชอบในการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไปสู่ Intelligent University และ Digital University โดยนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงการดำเนินการของมหาวิทยาลัยและการทำงานของผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย

                    ภารกิจที่สาม สนับสนุนในการขับเคลื่อนการบริหารงานของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้ข้อมูลเป็นศูนย์กลาง (Data-Driven) ร่วมกับศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนที่นำข้อมูลตามสภาพความจริง (Physical) เชื่อมกับข้อมูลในโลกของดิจิทัลเข้าวไว้ด้วยกันจากเดิม ที่ไม่มีโดยดึงเอาข้อมูลและเก็บข้อมูล มารวบรวมกันเพื่อให้บุคลากรและหน่วยงาน/องค์กรในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป      

                    นอกจากนี้ยังมีเรื่องการพัฒนาทักษะ และความรู้ ให้กับบุคลากรในมหาวิทยาลัยโดยทำงานกองบริหารงานบุคคล สำนักงานมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อีกด้วย*[103]

“...หลังจากมี SCMC โลกของ Physical กับ Cyber มันทำงานร่วมกัน เมื่อก่อนเรามีของที่อยู่ในโลกดิจิทัลอย่างเดียว แล้วก็มีเรื่องของ Physical ซึ่งพอมีการก่อตั้ง SCMC มันได้เชื่อมโยงระหว่างในโลกของความจริงกับโลกดิจิทัล... ซึ่งโครงการเมืองอัจฉริยะของจมหาวิทยาลัย เกิดมาจากแนวคิดเมืองอัจฉริยะ ที่มันเป็นไปตาม Trend โลก ที่ได้ตกผลึก ถ้ามองเรื่องของสมาร์ต ซิตี้ Physical Access เพราะว่า Equipment มันถูกลง มันเริ่มจับต้องได้มากขึ้นและน่าเชื่อถือมากขึ้นจึงได้รับความนิยมและให้ความสำคัญ... ...ถ้ามองย้อนอดีต  เรื่องโครงพื้นฐานเป็นสิ่งที่ทาง ITSC ทำไว้ให้ก็จะเป็นของพวกจับต้องได้เนอะ เช่น Sever หรือว่าระบบพื้นฐาน เราทำด้านโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล Sever ส่วน SCMC นำข้อมูลมาเก็บรวบรวมไว้และนำไปวิเคราะห์เพื่อใช้ในการบริหาร และเป็นรากพื้นฐานสร้างคสามราบรื่นและพร้อมจากด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีให้กับหน่วยงานอื่นเช่น เมื่อมีการก่อตั้งภายหลัง เช่น Lifelong Education...”[104]

          ซึ่งบทบาทและการดำเนินงานของสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันได้ครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่จัดทำไว้ตั้งแต่แรก ได้สนับสนุนให้หน่วยงานที่จัดตั้งภายหลังเช่น วิทยาลัยการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงศูนย์บริหารจัดการ

                    (1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล สำหรับนักศึกษา บุคลากรและการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย

                     สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นหน่วยงานที่จัดทำเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและไม่ใช่กายภาพเพอให้บริการนักศึกษา บุคลากร และประชาชนภายนอกที่ได้รับอนุญาต สำหรับสนับสนุนด้านการเรียนการสอน ค้นคว้าและวิจัย แบ่งออกได้ดังนี้[105]

                    1.1) เทคโนโลยีสำหรับการเรียนรู้และปรับเพิ่มทักษะ (1) CMU MOOC (Massive Open Online Course) การจัดการเรียนการสอนออนไลน์ในระบบเปิดสำหรับนักศึกษา บุคลากรในมหาวิทยาลัย และประชาชนทั่วไป เพื่อเรียนรู้ในความรู้ และทักษะเพิ่มเติมตามความสนใจ (2) IT Training การจัดให้มีการอบรมเสริมสร้างความรู้ด้านเชิงปฏิบัติการหลักสูตรคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ หัวข้อต่าง ๆ ตามความต้องการของหน่วยงานภายใน แก่นักศึกษา บุคลากร และสำหรับบุคลากรยังมีบริการอบรมระบบสารสนเทศในมหาวิทยาลัยส่วนกลางMIS Training และการอบรมเรื่องการต่อยอดความรู้ด้านดิจิทัลแล้เพิ่มศักยภาพให้บุคลการสนับสนุนภารกิจหลักขององค์กรได้ (Digital Literacy) (3) ITSC Conner ศูนย์ให้บริการสารสนเทศและแหล่งการเรียนรู้สำหรับนักศึกษา เช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต สำหรับการ เรียน การค้นคว้าวิจัยหรือทำงานส่งอาจารย์ (4) CMU Learning Space บริการสถานที่สำหรับการประชุม อ่านหนังสือ ทำงานส่วนตัวหรือพักผ่อน (4) ระบบสารสนเทศนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU SIS) ระบบสารสนเทศส่วนบุคคลของนักศึกษา ประวัติส่วนบุคคลของนักศึกษาและรวบรวมบริการและสวัสดิการต่าง ๆ และบริการเบื้องต้นสำหรับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เอาไว้ทั้งหมด (5)  Microsoft Office 365 สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มช. ได้ซื้อลิขสิทธิ์ของบริษัทไมโครซอฟท์สำหรับสถานศึกษา โดยให้บริการชุดโปรแกรม ไมโครซอฟท์ออนไลน์และติดตั้งแบบออฟไลน์สำหรับนักศึกษาและบุคลากร สำหรับสนับสนุนการเรียนการสอนและการปฏิบัติงานในหลากหลายอุปกรณ์ที่ใช้ CMU Account เพื่อ Login เข้าสู่โปรแกรมจากทางไมโครซอฟท์ ได้แก่ Word Online/Offline, Excel Online/Offline, PowerPoint Online/Offline, OneNote Online, Sway, SharePoint, Yammer, OneDrive, Form Offline, Video, Team, อีเมล และปฏิทิน (6) Microsoft Team แพลตฟอร์มสำหรับการติดต่อ ประชุม และแบ่งบันไฟล์และนำเสนองาน

                    1.2) เทคโนโลยีสำหรับการปฏิบัติงานของบุคลากรและการบริหารจัดการ (7) ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ (e-Document) ในส่วนของบุคลากร พนักงานในมหาวิทยาลัยยังได้รับบริการด้านเอกสาร  ที่มหาวิทยาลัยมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนไปสู่การภายในบริหารงานดิจิทัล เช่น การส่งหนังสือภายในส่วนงานและระหว่างส่วนงาน การแจ้งเวียน เป็นต้น (8) ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและการบริหารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU MIS) บริการที่เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลด้านต่าง ๆ หลักของมหาวิทยาลัย เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนตัดสินใจหรือสนับสนุนในการทำงานแก่ผู้ปฏิบัติงาน และทั้งในระดับส่วนงาน และในระดับองค์การมหาวิทยาลัย ในด้าน เช่น งานบุคลากร (CMU HR), หลักสูตรและกระบวนวิชา (CMU TQF), การประเมินภาระงาน, อาคารสถานที่ (CMU Building), ด้านแผนและงบประมาณ (CMU e-Planning) เป็นต้น (9) CMU e-Planning ระบบสนับสนุนงานด้านนโยบาย แผน และงบประมาณ ระบบที่เข้ามาช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการงานแผนและงบประมาณให้สะดวก รวดเร็วขึ้นสำหรับส่วนงาน

                    1.3) เทคโนโลยีสำหรับการติดต่อสื่อสาร (10) JumboPlus เครือข่ายบริการอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wi-Fi) วายฟายสำหรับนักศึกษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัยใช้บริการรวมถึงบุคคลภายนอกที่ได้รับอนุญาต ปัจจุบันให้บริการครอบคลุมทั่วมหาวิทยาลัย 7,000 จุด ภายใต้ชื่อ “@JumboPlus2.4 GHz/@JumboPlus5.0 GHz ใช้บัญชี CMU Account เชื่อมต่อในครั้งแรกและครั้งถัดไปจะเชื่อมต่อแบบอัตโนมัติ 10 อุปกรณ์ ต่อนักศึกษา 1 คน (11) CMU Account บัญชีกุญแจสำคัญสำหรับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยทุกคนเพื่อเชื่อมโยงสำหรับการเข้ารับบริการอื่น ๆ ของมหาวิทยาลัยและสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มช. เข้าถึงทุกที่และเชื่อมต่อกันในหลายอุปกรณ์และอุปกรณ์พกพา (Devices) (12) CMU Email บัญชีอีเมลอย่างเป็นทางการใช้งานผ่าน Microsoft Outlook (13) CMU VPN บริการเครือข่ายส่วนตัวเสมือนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำหรับรับบริการจากสำนักห้องสมุด มช. (CMUL) และสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มช. (ITSC CMU) (14) Eduroam เครือข่ายโรมมิ่งเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในสถานที่

                    1.4) บริการคลาวด์และอื่น ๆ (15) Microsoft OneDrive บริการพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลผ่าน Cloud จำนวน 5 TB (Terabytes) (16) CMU Anti-Virus โปรแกรมป้องกันและกำจัดไวรัสลิขสิทธิ์แท้ 11). Azure Dev Tools for Teaching โครงการจากบริษัทไมโครซอฟท์ สำหรับนักศึกษาและบุคลากร สามารถดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์แท้ด้วยตนเองในราคาถูก (17) One Stop Services ศูนย์ปรึกษา ให้คำปรึกษาแนะนำ เกี่ยวกับเรื่อง บริการต่างๆ, คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (18) บริการซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ Microsoft Windows และ Microsoft Word สำหรับบุคลากรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

          1.5) โครงสร้างพื้นฐาน (19) เครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย Jumbo Plus จำนวน 7,000 จุด ซึ่งได้มีการดำเนินการพัฒนาโครงการ Jumbo Net เป็นระยะเวลากว่าทศวรรษ (20) ศูนย์ข้อมูลและบริการข้อมูลของมหาวิทยาลัย (Data Center) เพื่อให้บริการแก่ส่วนงานต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เช่าใช้บริการของศูนย์จัดเก็บข้อมูล

รูปภาพประกอบด้วย ภาพหน้าจอ, ข้อความ, สี่เหลี่ยมผืนผ้า, จำนวน

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 20. แสดงระบบบริการสารสนเทศจัดทำโดย ITSC ให้แก่นักศึกษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัยเพื่อสนับสนุนการเรียนการสอน วิจัย ปฏิบัติงานและดำเนินงาน

  (ที่มา : [106])

                              1.1)  ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและการบริหารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU MIS)

          ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและการบริหารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลด้านต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนประกอบการตัดสินใจ ทั้งในระดับส่วนงาน และระดับมหาวิทยาลัย

         ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและการบริหารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถูกดำเนินการพัฒนาของสำนักงานบริการเทคโนโลยีสารสนเทศในปีงบประมาณ 2006 ในปัจจุบันมีระบบงานย่อยสำหรับการบริหารจัดการข้อมูลที่ใช้ในการดำเนินงานด้านและปฏิบัติงานต่าง ๆ ของบุคลากรในมหาวิทยาลัย ได้แก่ งานบุคลากร (CMU HR), หลักสูตรและกระบวนวิชา (CMU TQF), การประเมินภาระงาน, อาคารสถานที่ (CMU Building), ผลงานทางวิชาการ (CMU Publication), งานกิจการนักศึกษาและการพัฒนานักศึกษา (CMU SD), แผนพัฒนาการศึกษาและคำรับรองการปฏิบัติงาน (CMU PA), งานยานพาหนะ (CMU Vehicle), งานวิจัย (CMU Research), สาธารณูปโภค และด้านแผนและงบประมาณ (CMU e-Planning) เป็นต้น (9) CMU e-Planning ระบบสนับสนุนงานด้านนโยบาย แผน และงบประมาณ ระบบที่เข้ามาช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการงานแผนและงบประมาณให้สะดวก รวดเร็วขึ้นสำหรับส่วนงาน357

          นอกจากนี้ยังมีการดำเนินการพัฒนาให้เอกสารอื่น ๆ ให้เป็นเอกสารดิจิทัล ยกตัวอย่างเช่นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้นำร่องให้บริการระบบออกเอกสารสำคัญทางการศึกษาแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Transcript) เป็นมหาวิทยาลัยฐานะแห่งแรกของประเทศไทยไทย  จะก่อให้เกิดการรับบริการขอเอกสารอย่างที่รวดเร็ว ปลอดภัย และเป็นมาตรฐานสากลขึ้น โดยไม่ต้องเดินทางมารับที่มหาวิทยาลัยหรือรอรับทางไปรษณีย์ รวมถึงการส่งเอกสารไปยังต่างประเทศ

                              1.2)  ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU e-document)

          สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศได้พัฒนาระบบ CMU e-Document (สารบรรณอิเล็กทรอนิกส์) สำหรับตอบสนองต่อนโยบายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ดิจิทัล (Digital University) และ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ ค.ศ. 1983 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ (ฉบับที่ 2) ในการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการบริหารงานของมหาวิทยาลัยและปฏิบัติงานของบุคลากรและพนักงานผู้ปฏิบัติงาน มุ่งไปที่ด้านงานสารบรรณ

          มีวัตถุประสงค์เพื่อความเกิดการอำนวยสามสะดวกและรวดเร็วในการปฏิบัติงานและบริหารงานภายใน ลดขั้นตอนการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เกิดการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้ การสั่งการละติดตามจากเอกสาร การจัดเก็บเอกสารเป็นไปอย่างง่ายและลดการใช้ทรัพยากรกระดาษเอกสารที่สามารถเปิดดูได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา และเกิดฐานข้อมูลที่สะดวกในการสืบค้น

         ความสามารถดังต่อไปนี้ การส่งหนังสือภายในส่วนงานและระหว่างส่วนงาน 1) การรับหนังสือจากภายในส่วนงานและระหว่างส่วนงาน 2) การแจ้งเวียนหนังสือภายในส่วนงาน 3) การตีกลับดึงกลับหนังสือ 4) การค้นหาหนังสือจากรายละเอียดของหนังสือและจากส่วนงานผู้รับ-ส่ง 5) การจัดเก็บหนังสือเข้าแฟ้ม 6) การออกรายงานทะเบียนคุมหนังสือ (ทะเบียนรับ-ส่งหนังสือ) และการแจ้งเตือนหนังสือเข้าทางอีเมล @cmu.ac.th โดยเชื่อมโยงข้อมูลบุคลากรและบัญชี CMU Account[107]

          โดยแบ่งตามสิทธิผู้ใช้ออกเป็น 3 กลุ่ม 1. กลุ่ม Admin 2. กลุ่มเจ้าหน้าที่สารบรรณ แบ่งเป็น (1) กลุ่มจัดการข้อมูลหนังสือ สามารถ ออกเลขรับ ออกเลขส่ง สร้างเอกสารในนามส่วน งาน เก็บเอกสารเข้าแฟ้มในนามส่วนงาน ตั้งค่าแฟ้มเอกสาร (2) กลุ่มตั้งค่าเลขหรือกลุ่มผู้รับ สามารถ ตั้งค่าเลขรับ เลขที่หนังสือ (เลขส่ง) (3) กลุ่มกำหนดบุคคลนั้นเป็นผู้รับหนังสือจากภายนอกส่วนงาน  โดยจะได้รับเอกสาร ทันทีในนามส่วนงาน เมื่อ ส่วนงานอื่น ๆ ส่งมาถึง และ 3. ผู้ใช้งานทั่วไป คือ หัวหน้างาน ผู้บริหาร คือ บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้กำหนดสิทธิเป็นเจ้าหน้าที่งานสาร บรรณ สามารถรับ/ส่งหนังสือ ในนามส่วนตัว

รูปภาพประกอบด้วย ภาพหน้าจอ, ข้อความ, ซอฟต์แวร์

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

ภาพ 21. แสดงหน้าตาของระบบ CMU e-document ที่พัฒนาโดย ITSC

 (ที่มา :[108])

          ในด้านการดำเนินงานและผลักดันในการ นำระบบระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU e-document) ไปใช้จริงพบว่า ในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมทุกส่วนงานและองค์การ/หน่วยงาน และยังไม่มีการใช้งานแบบเต็มรูปแบบ แม้น ว่าคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะเป็นองค์กรประสบความสำเร็จในการนำระบบ CMU e-Document มาใช้แบบเต็มรูปแบบ 100% ก็ตาม[109]

“...เรื่องการปรับตัวไม่ยากนะ เพราะ ระบบใหม่ ๆ ที่ทางมหาวิทยาลัยเปลี่ยนเข้ามา มันก็ต้องอิงกับระบบเดิมที่เราเคยใช้ พยายามให้เป็น e-Document แต่ยังไม่เต็มที่ทั้งหมด...[110]

“...ตำแหน่งของผมทำงานในด้านเอกสารในหน่วยงาน ซึ่งมีการเปลี่ยนจาก Hardcopy ใช้กระดาษอย่างเดียว พยายามไปสู่การพัฒนาเป็นระบบ e-Document เพิ่มขึ้น หน่วยงานเราพัฒนาไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังมีเอกสารบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ลายเซ็น...[111]

          ยังคงพบว่าในบางหน่วยงานยังไม่ได้เป็นไปในลักษณะที่มีการใช้ระบบ e-Document ดังกล่าว แม้นจะมีความสำเร็จในการพัฒนาระบบขึ้นโดยสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่การผลักดันการนำไปใช้ในทุกหน่วยงานยังไม่ทั่วถึงและยังไม่เต็มรูปแบบ 100% นอกจากเหนือจากคณะการสื่อสารมวลชน

          ในระบบสารสนเทศอื่นที่สนับสนุนผู้ปฏิบัติงานเช่น ระบบ CMU MIS (ส่วนกลาง) ซึ่งแต่ละองค์กร/คณะจะจัดทำบริการดิจิทัล ระบบสารสนเทศที่แตกต่างกันไป เป็นของตนเอง และระบบสารสนเทศที่บริการให้แก่นักศึกษา ระบบ CMU SIS ซึ่งแต่ละองค์กร/คณะจะจัดทำบริการดิจิทัล ระบบสารสนเทศที่แตกต่างกันไปเช่นกัน

A screenshot of a computer

Description automatically generatedA screenshot of a computer

Description automatically generated

ภาพ 22. แสดงหน้าตาระบบสารสนเทศสำหรับบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน MIS ของคณะทันตแพทย์ศาสตร์และ ระบบสารสนเทศสำหรับนักศึกษา SIS ของคณะรัฐศาสตร์

(ที่มา :[112])

                    (2) การดำเนินการไปสู่ องค์การที่ขับเคลื่อนด้วยการใช้ข้อมูล (Data-driven)

          7.3)  หน่วยงานที่ขับเคลื่อน ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนส่วนงาน การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศ (Big Data Analysis SCMC)

                              2.1) การพัฒนาศูนย์มาตรฐานข้อมูลกลาง (Data Center)

                              สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบภารกิจหนึ่งในการจัดทำให้บริการศูนย์ข้อมูลกลางของมหาวิทยาลัย (Data Center) ในแนวทางในการพัฒนาศูนย์ข้อมูลกลางให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลด้วย ISO/IEC 27001:2013 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 นับแต่ปี 2018 โดยให้บริการใน 3 ลักษณะ คือ 1) Co-location บริการพื้นที่รับฝาก วางเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายหลักของมหาวิทยาลัย 2) CMU Private Cloud บริการเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายเสมือน 3) Web Hosting บริการพื้นที่เว็บไซต์สำหรับหน่วยงำน ชมรม โครงกำร กิจกรรม กลุ่ม วิจัย ภายในมหาวิทยาลัย

                              2.2) การวิเคราะห์และบริหารจัดการข้อมูล (Big Data Analytics and Management)

                              ส่วนใหญ่ทางศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนมีหนึ่งในภารกิจในด้านข้อมูล (Data)  แต่เดิมในผังแม่บทการพัฒนามหาวิทยาลัยเชียงใหม่อัจฉริยะ เรียกศูนย์ดังกล่าวว่า Smart Control หรือ Campus Management Center ศูนย์จัดการด้านข้อมูลและประสานงานด้านสมาร์ต ซิตี้ โดยสนับสนุนให้เกิดการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) โดยมีสำนักงานบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นผู้จัดทำด้านโครงสร้างพื้นฐานและจัดเก็บข้อมูล ส่วนอีกด้านคือศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนและส่วนงานบริหารจัดการข้อมูล (Big Data Analytics) โดยพยายามในการเก็บรวบรวมของมูลที่เกิดขึ้นต่างๆ ในมหาวิทยาลัย หลากหลายด้าน (Big Data) ทั้งสำหรับผู้วิจัยและนักวิชาการนำไปใช้ค้นคว้าวิจัย และสนับสนุนการบริหารงานภายในมหาวิทยาลัย

      พนักงานผู้ปฏิบัติงานท่านหนึ่ง (2566) ระบุว่า ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีความพยายามนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น ทำให้การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยที่เรียกว่าเมืองมหาวิทยาลัยอัจฉริยะมีความสะดวกสบายมากขึ้น เช่น ระบบการติดตามยานยนต์ ระบบการรักษาความปลอดภัย ซึ่งบางส่วนงานมีการนำเทคโนโลยีมาใช้แทนคนเพื่อเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพ  1) ด้านเครือข่าย (Network) โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทับ จะเป็นสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2) ด้านข้อมูล (Data) จะอยู่กับศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้งหมด (เพียงไปฝากข้อมูลไว้กับสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ) โดยมีเครือข่าย (Network) เป็นของตัวเองในเรื่องไม้กั้นประตูเข้าออกและกล้องวงจรปิด โดยการใช้ไฟเบอร์ออปติกในการทำงาน

          นอกจากภารกิจด้านข้อมูลแล้ว ภารกิจที่สอง เรื่องความปลอดภัย จะอยู่ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนโดยตรง และภารกิตที่สาม เรื่องการขนส่งมวลชน จะอยู่ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนโดยตรงเช่นกัน

          เมื่อมีการออกนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจะผ่านทางศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนทั้งหมด มีหน่วยงานสนับสนุนบ้างแต่ส่วนใหญ่ ถ้าเกี่ยวกับอัจฉริยะทางศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนจะมีการดูแลรับผิดชอบทั้งหมดในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่เป็น ส่วนกลางส่วนหน่วยงานทำคือเขาจะทำเพื่อใช้เองในหน่วยงานก็จะไม่เกี่ยวข้องระหว่างกัน[113]

...ถ้าเริ่มจากแนวคิดของเรา เราเอาตัวนักศึกษาเป็นตัวตั้ง ว่าทำแล้ว ปลายทาง นักศึกษาจะได้อะไร? นักศึกษาจะได้รับผลกระทบอะไร? ในความเป็นจริงแล้ว SCMC เราเป็นห่วงนักศึกษาอย่างมาก ว่า ทำโครงการอย่างนี้ ๆ นักศึกษาจะได้รับประโยชน์หรือไม่? และจะได้รับผลข้างเคียงตามมาอย่างไรจุดประสงค์หลักของเรา คือ ความสุขอย่างยั่งยืน ของคนในสังคม ตรงนี้แหละเป็นสิ่งที่เรายึดถือ เราจะทำอย่างไรให้นักศึกษาให้มีความสุข ความเป็นอยู่ ความปลอดภัยให้ดีขึ้นและไม่เกิดปัญหาตามมา ความเป็นสมาร์ต ซิตี้มันไม่ต้องว้าวหรือไฮเทคต้องเริ่มจากปัญหาก่อน และนำเทคโนโลยีที่เหมาสมเข้ามาใช้...[114]

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน มีหนึ่งในภารกิจการจัดทำข้อมูลและรวบรวมข้อมูลออกมาในรูปแบบที่ถูกวิเคราะห์ จัดเรียงเพื่อการนำเสนอ (Dashboard) และข้อมูลต่างๆ ที่เก็บรวบรวมไว้ สำหรับให้ผู้บริหารนำไปใช้ในการตัดสินใจบริหารองค์การ ส่งมอบไปให้บุคลากรและนักศึกษาที่ต้องการนำไปใช้ประโยชน์ รวมถึงทำแอปพลิเคชัน “CMU MOBILE” เพื่อให้บริการแก่นักศึกษา จึงต้องมีส่วนสำนักงานและส่วนการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศที่รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว  และนำเสนอเป็นข้อมูลสารสนเทศผ่านการวิเคราะห์ในการแสดงและติดตามด้าน การคมนาคม การใช้พลังงานไฟฟ้า น้ำ ของเสีย การผลิตก๊าซเรือนกระจก และการลดการผลิตก๊าซเรือนกระจกของแต่ละส่วนงานและองค์กรได้ด้วยข้อมูล ส่งผลให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มขึ้น สามารถส่วนกลางสามารถให้รางวัลหรือลงโทษหน่วยงานที่ฝ่าฝืนได้ซึ่งอยู่บนฐานข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมและนำมาวิเคราะห์ แบบเรียลไทม์ ติดตามได้

“...SCMC ตามหมด อย่างเช่น รถม่วง เราตามตั้งแต่คนขั้นคนลงรถ คนขึ้นป้ายไหนลงป้ายไหนมากที่สุด เขาเก็บข้อมูล หน่วยงานเราเป็นหน่วยงานที่เก็บข้อมูลอยู่แล้ว อะไรที่เป็นข้อมูลเราเก็บเอาไว้หมด เช่น CMU Mobile มีคนใช้งานวันละกี่คนเรารู้ คนขึ้นคนลงรถม่วงแต่ละสายเป็นอย่างไรเรารู้ ลงที่ไหนเรารู้ รถเข้าและออกมช. มีจำนวนเท่าใดต่อวันเรารู้ ยานพาหนะที่ได้ลงทะเบียนกับทาง SCMC มีจำนวนเป็นกี่เปอร์เซ็นต์เรารู้ พวกนี้คือเราติดตามหมด เราเอาข้อมูลเหล่านั้นมาคอบปรับปรุงต่อไปเป็นเรื่อง Governance Protocol ที่เป็นปกติ อย่ายอมให้คนพูดว่า การติดตามเป็นภาระ ไม่จริง มันก็ไม่เป็นภาระ...[115]

“...Big Data เกิดประโยชน์ในการดูแลรักษาผู้ป่วย เป็นหมุดหมายที่สำคัญ เราจะมี Big Data ในการดูแลรักษาผู้ป่วย เกิดการเปลี่ยนแปลงในการดูแลรักษาในนานาชาติ ในระดับประเทศ...”[116]

          7.4)  ความสำเร็จการพัฒนาด้านการบริหารงานอัจฉริยะ

          จากการรับรู้และการสัมผัสตามประสบการณ์โดยตรงของบรรดาผู้นำนักศึกษา ฐานะกลุ่มเป้าหมายสำคัญในโครงการ CMU Smart City ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลและรับบริการโดยตรงจากการพัฒนาด้านที่ 7 : การบริหารงานมหาวิทยาลัยอัจฉริยะ (Smart Governance) โดยได้แสดงทัศนคติความคิดเห็นระบุไว้ คือ

“...หนูรู้สึกว่าถ้าใช้ข้อมูลในการตัดสินใจก็แม่นยำลดข้อผิดพลาดขึ้นเป็นเรื่องที่ดี ข้อมูลต้องอัพเดท ปีต่อปี ถ้าเอกสารข้อมูลมาตรงกับความคิดผู้บริหารยิ่งจะทำให้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งไปใหญ่ แล้วที่ได้สัมผัสการทำงานในคณะของน้องเป็นอย่างไร? ของคณะหนูก็จะมีเว็บไซต์ เช่นการยืมคืน โน้ตบุ๊คผ่านเว็บไซต์ ซึ่งการทำงานส่วนใหญ่ของคณะวิศวะผ่านเว็บไซต์เป็นหลักคะ การขอจองพื้นที่ห้อง Co-Working หนูรู้สึกว่าที่คณะมันไม่ค่อยมีเอกสาร อันนี้ไม่ได้อวยคณะตัวเองนะคะ ก็คือส่วนใหญ่เขาจะใช้เป็นเว็บไซต์ หนูไม่เคยได้ใช้พวกเอกสารที่คณะเลย ด้านการให้บริการในคณะ (วิศวกรรมศาสตร์) หนูว่ามันง่ายขึ้น หมายถึงว่า ถ้าเป็นแต่ก่อนก็ต้องเป็นเอกสาร หรือแบบต้องปรินท์ใบคำร้องขออะไรพวกนี้ แต่พอปัจจุบันมาเราใช้เป็นแบบ ไฟล์ .Pdf โอเคมันอาจจะมีการเซ็นอยู่ แต่ถ้าสามารถใช้เป็นลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์แบบทั้งหมดได้จะดีขึ้น...”[117]

“...คณะบดีศึกษาศาสตร์ คนก่อนมีวิสัยทัศน์แบบอยากดูแลเราเหมือนลูก แต่คนใหม่ยังไม่ได้สัมผัส เราจะสามารถปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาเราได้ คือ เราหันไปทางไหนเหมือนมีคนช่วยเราเสมอ ซึ่งตอบโจทย์ให้แก่นักศึกษา แต่ไม่ทราบว่าคณะอื่นๆ เป็นอย่างนี้ไหม ซึ่งถ้าคณะอื่นทำได้ก็ดีมากการให้บริการของมช. ก็ถือว่าพึงพอใจในระดับหนึ่ง เราสามารถเข้าถึงได้ในระบบที่เป็นแผนของมหาวิทยาลัย...”[118]

“...จากที่เคยบริการแตกต่างกันไปตามคณะหรือหน่วยงาน คณะรัฐศาสตร์ฯ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) กลาง ๆ คือ ยังมีขั้นตอนที่เยอะ รอนาน ยุ่งยากยังไม่ดี เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงมากนักยังใช้เอกสารอยู่...

...ในส่วนของด้านสุขภาพ โรงบาลสวนดอก (โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่) ตามการเคยไปรับบริการรักษาที่นั้นเป็นโรคลมพิษ ภูมิแพ้เข้าห้องฉุกเฉินในสองสามปีที่ผ่านมา ผมความรวดเร็วขึ้นมาก มีการจัดระบบที่ดีเยี่ยม ลดขั้นตอนไปเยอะ แค่ใช้บัตรหรือ ThaiID แล้วรับการรักษาเลย เหลือแค่ตอนหลังจากการรักษาไปจ่ายเงินรับยาที่ช้าอยู่ ส่วนศูนย์สุขภาพไผ่ล้อม (ศูนย์สุขภาพมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - CMU Health Center) ผมรับรู้ถึงไอเดียนะ พยายามเอาการรักษาทุกแขนงเบื้องต้นมาไว้ทีนี่ มีการใช้เทคโนโลยีลดขั้นตอน การรักษายังไม่ครอบคลุมทุกโรค ช้ากว่าโรงพยาบาลฝั่งสวนดอก แต่เราเห็นถึงความเร็วหรือมีการพยายามนำเทคโนโลยีข้อมูลมาใช้ได้ดีกว่าคณะรัฐศาสตร์ [119]

“...ผมยังไม่เห็น ความสำเร็จในเรื่องนี้ ยังไม่เป็นจุดเปลี่ยนหรือเป็นที่น่าสังเกตได้ในเรื่องนี้  ส่วนการได้รับการบริการก็ปกติทั่วไปยังไม่ค่อยได้เห็นถึงเรื่องนี้นักครับ ยกตัวอย่างการรับบริการให้คณะ ช้าครับ โดยเฉพาะเรื่องสหกิจศึกษา แต่เรื่องการสอนการเรียนทั่วไปปกติ ผมว่าพี่ๆ แกตอบคำถามกับนักศึกษาในส่วนนี้ช้าไปไม่ค่อยกระตือรือร้น...”[120]

“...ก็อย่างที่บอกอะครับ เราไม่ได้เห็นภาพการทำงานโดยรวม ซึ่งตามที่บอกมาว่ามีการพัฒนา 7 ข้อ ข้อการพัฒนาการบริหารอัจฉริยะสุดท้ายผมไม่เห็น... ...ในด้านการให้บริการและอัธยาศัยของในคณะแพทย์คือ Nice หมด ส่วนเทคโนโลยีที่ในการให้บริการ สื่อการสอนมาใช้ ที่สัมผัส ยังไม่เห็นขนาดนั้น ตามเท่าที่โฆษณาไว้ดูยิ่งใหญ่อลังการ สุดท้ายในการเรียนจริงยังเปิดสไลด์ Power Point แบบเดิม ๆ...[121]

“...มุมมองการใช้บริหารการในคณะ (วิทยาศาสตร์) ถ้าเต็ม 10 ให้แค่ 7 อยู่ครับ มีข้อจำกัดบางอย่าง การขอเอกสารที่สำคัญบางอย่าง ยังมีการขอปริ้นซ์รอเซ็น ยังไม่ได้แบบเป็น e-Document 100% การให้บริการห้องเรียนก็เปิดสไลด์เหมือนเดิม ๆ การทำเล็บ เครื่องมือ ถามว่ามีความพร้อมไหม ก็ในระดับหนึ่ง แต่ประสิทธิภาพไม่เต็มที่เป็นเครื่องที่เก่า ไม่ทันสมัย...” [122]

          ผลความสำเร็จในภาพารวมจากผุ้มีส่วนได้เสียอยู่ในระดับครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทั้งนี้การบริหารงานอาจเป็นสิ่งที่ไกลตัวนักศึกษา และสัมผัสผ่านบริการในคณะ/องค์กรตนเองพบว่า บางส่วน ยังไม่เกิดสิ่งที่เปลี่ยนแปลง บางส่วนเกิดความสะดวกในการรับบริหารแทนที่เอกสาร เช่นระบบ e-Document แต่ยังไม่เป็นแบบทุกหน่วยในมหาวิทยาลัยยังไม่ได้เป็นครอบคลุมและเต็มรูปแบบประสิทธิภาพส่วนการข้อมูลในการตัดสินใจให้เกิดความแม่นยำและประกอบการบริหารงานนับเป็นเรื่องที่ดี

         รางวัลที่ได้รับ

         มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้รับรางวัลชนะเลิศ “Smart City Solutions Awards 2566” ในปี 2566 ภายใต้หัวข้อการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) รางวัลประเภท 'ความเป็นเลิศ'  จากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในงาน ‘Thailand Smart City Expo 2566’  จากการแตกออกเป็นโครงการย่อย ‘CMU Smart Surveillance’ ดำเนินการโดยศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (SCMC) มีวัตถุประสงค์ที่ส่งเสริมความปลอดภัยและประสิทธิภาพการจราจรแก่นักศึกษา บุคลากรและประชาชนในชุมชนรอบมหาวิทยาลัย ที่มีการสัญจร-เข้าออก ผ่านมหาวิทยาลัยตลอดเวลาและเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้ดำเนินการควบคู่และนำมาจากโครงการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมืองอัจฉริยะความเป็นเลิศที่ยั่งยืนสู่ชุมชน จากหัวข้อหลัก (Theme) ประกอบด้วยการผสมผสาน ในด้านการคมนาคมขนส่งอัจฉริยะ และการดำรงชีวิตอัจฉริยะ รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะผสมผสานกัน

         โดยใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ แนวคิดการใช้ข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการเมืองมาใช้ (Data Driven), การเรียนรู้อัตโนมัติของโปรแกรม (Machine Learning),  การประมวลผลภาพด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI Image Processing) และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) กล้องวงจรปิด (CCTV) และประตูมหาวิทยาลัยอัจฉริยะ (CMU Smart Gate)ก่อให้เกิดข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ สารสนเทศ และไปใช้ในการตัดสินใจและการบริหารงานต่อไป[123]

          โดยในปี 2567 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับรางวัล Smart City Solutions Awards 2024 ระดับ “ดี” ในสาขาการคมนาคมขนส่งหรืออัจฉริยะจากโครงการย่อย ระบบขนส่งมวลชนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ขส.มช.)จัดทำการพัฒนาขึ้นเพื่อให้บริกานด้านการขนส่งภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แก่นักศึกษา บุคคลกร นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปเพิ่มประสิทธิภาพ มีความสะดวก ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยพลังงานไฟฟ้า เมื่อวันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ในงาน ‘Thailand Smart City Expo 2567’ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์[124]




[1]  สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2566). รายงานประจำปี สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2565 (Report Energy Research and Development Institute-Nakornping, Chiang Mai University). สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, 1.

[2]  สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2566). ยุทธศาสตร์และแผนในการดำเนินงานในการบริหารงาน (Strategy and Action Plan First Term of Management) วาระที่ 1 (พ.ศ. 2566-2570). สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, https://bit.ly/4fMUXgA

[3]  *เรียบเรียงจากคำสัมภาษณ์ของ ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี (20 ก.ย. 2566). อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และหนึ่งในคณะอนุกรรมการฯ การยกระดับสู่มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ, สัมภาษณ์โดยผู้เขียน

[4]  รองอธิการบดีฝ่ายบริหารทั่วไป กายภาพ และยุทธศาสตร์นวัตกรรม สิ่งแวดล้อมและพลังงาน, รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพนักศึกษา กิจการนักศึกษา และกิจการพิเศษ, กองพัฒนานักศึกษา สํานักงานมหาวิทยาลัย และศูนย์บริหารจัดการชีวมวลครบวงจร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (6 ก.ค., 2565). คู่มือการจัดการชีวมวลครบวงจร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 24-25, https://bit.ly/3CIeroG

[5]  สรุปเรียงเรียงใหม่จาก. รองอธิการบดีฝ่ายบริหารทั่วไป กายภาพ และยุทธศาสตร์นวัตกรรม สิ่งแวดล้อมและพลังงาน, รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพนักศึกษา กิจการนักศึกษา และกิจการพิเศษ, กองพัฒนานักศึกษา สํานักงานมหาวิทยาลัย และศูนย์บริหารจัดการชีวมวลครบวงจร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (6 ก.ค. 2022). คู่มือการจัดการชีวมวลครบวงจรมหาวิทยาลัย, 0-22. สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.) ศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, [เว็บเพจ, ออนไลน์], เข้าถึง 8 ม.ค. 2567, https://bit.ly/4dfV2sP

[6]  ข้อมูลแบบเรียลไทม์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-17 พฤศจิกายน 2567. สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). หน้าแรก [เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 17 พ.ย., 2567, 03:20:10 GMT+0700 (Indochina Time), https://cmu.to/3fQX8

[7]  สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.) ศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, [เว็บเพจ, ออนไลน์], เข้าถึง 8 ม.ค. 2567, https://bit.ly/4dfV2sP

[8]  รองอธิการบดีฝ่ายบริหารทั่วไป กายภาพ และยุทธศาสตร์นวัตกรรม สิ่งแวดล้อมและพลังงาน, รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพนักศึกษา กิจการนักศึกษา และกิจการพิเศษ, กองพัฒนานักศึกษา สํานักงานมหาวิทยาลัย และศูนย์บริหารจัดการชีวมวลครบวงจร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (6 ก.ค 2565). คู่มือการจัดการชีวมวลครบวงจรมหาวิทยาลัย, 7, 13.

[9]  หน่วยกําจัดน้ำเสีย งานบริการสาธารณูปการและซ่อมบํารุง กองอาคารสถานที่และสาธารณูปการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2560). คู่มือการปฏิบัติงาน เรื่องแนวทางการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่กำจัดน้ำเสีย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ปรับปรุงครั้งที่ 2). สำนักงานมหาวิทยาลัย, https://buildings.oop.cmu.ac.th/files/km03.pdf

[10] สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (13 ต.ค., 2566). โครงการบริหารจัดการโครงการ SODU สำหรับความเป็นกลางทางคาร์บอนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (Carbon Neutral University) [เว็บไซต์, ออนไลน์]. สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, เข้าถึง, 1 .., 2567, https://netzero.cmu.ac.th/web/?p=3062

[11]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม..ป). CMU Pathway to Carbon Neutrality [เว็บไซต์, ออนไลน์].  สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เข้าถึง, 1 .., 2567, https://netzero.cmu.ac.th/web/?page_id=2543#1698809125291-6f003e54-9a60

[12]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (26 ก.ย., 2567). update เดือนสิงหาคม 2567 การจัดทำฐานข้อมูลและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์คาร์บอนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (Carbon Landscape, CMU) [เว็บไซต์, ออนไลน์]. สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, เข้าถึง 31 .., 2567, https://netzero.cmu.ac.th/web/?p=4455

[13]  สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (28 ต.ค., 2567). โครงการจัดทำฐานข้อมูลและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์คาร์บอนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (Carbon Landscape, CMU)” มุ่งมั่นในการจัดการก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน [เฟซบุ๊ก, ออนไลน์]. Meta Platforms Inc., เข้าถึง, 1 .., 2567, https://netzero.cmu.ac.th/
web/?p=4455

[14]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (24 ก.ย., 2567). update เดือนสิงหาคม 2567 การใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกและวัสดุทางเลือกในการศึกษาถนนอย่างยั่งยืนความเป็นกลาง ทางคาร์บอนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ระยะที่ 1). สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, https://netzero.cmu.ac.th/web/?p=4446

[15]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (31 .. 2565). มช. จับมือภาครัฐ เดินหน้าพัฒนาคลองแม่ข่า หนึ่งในชัยมงคลเจ็ดประการของเมืองเชียงใหม่ เป็นดั่ง “สายน้ำแห่งวัฒนธรรม” [เว็บเพจ, ออนไลน์]. ศูนย์สื่อสารองค์กรและนักศึกษาเก่าสัมพันธ์, https://www.cmu.ac.th/th/article/84ed387e-f32c-4705-bca3-b0e56325bb97

[16]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). CMU Pathway (ปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก BAU ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปี 2562-2575). [เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 1 ม.ค., 2568, 11:30:10 GMT+0700 (Indochina Time), https://netzero.cmu.ac.th/web/?page_id=2543

[17]  *ข้อมูลแบบเรียลไทม์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-15 พฤษศจิกายน 2567. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). หน้าแรก (การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งมหาวิทยาลัยฯ ปี 2024, 1 .ค – 15 พ.ค. 2024). สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, เข้าถึง 15 พ.ค., 2567, 03:40:10 GMT+0700 (Indochina Time), https://cmu.to/3fQX8

[18]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2566). SDGs มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2565-2566, 33, https://cmu.to/2P8tI

[19]  สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). ฐานข้อมูลโรงขยะและCBG มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ระบบคัดแยกขยะ ปี 2567 (กิโลกรัม)|Waste sorting process in 2567 (Kilogram) [เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 1 ม.ค., 2568, 01:10:15 GMT+0700 (Indochina Time), https://cmu.to/RMWbG

[20]  มช.ทูเดย์.  (12 มีค., 2567). CMU KNOW | หน่วยกำจัดน้ำเสีย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ [เฟซบุ๊ก, ออนไลน์]. Meta Platforma Inc., https://cmu.to/NeqVI

[21]  กองอาคารสถานที่และสาธารณูปโภค สำนักงานมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). หน่วยกำจัดน้ำเสีย [เว็บเพจ, ออนไลน์], https://cmu.to/k6Q5j

[22]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 4 (2566)

[23]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 (2566)

[24]  สัมภาษณ์ นักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[25]   “...แต่เราเป็น สมาร์ต ซิตี้ ที่เป็นมหาวิทยาลัยไม่ค่อยมี แล้วไม่ค่อยมีมหาวิทยาลัยใดจะมีหน่วยงานพิเศษแบบนี้จัดตั้งขึ้นมาแบบศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน ของ มช. แล้วก็ลักษณะของการจัดการมหาวิทยาลัยในบริบทที่แตกต่างออกไป ที่ไม่ใช่บริบทของเมืองเหมือนโครงการอัจฉริยะทั่วไป เพราฉะนั้นการปฏิบัติของศูนย์ฯ มช. จึงไม่ค่อยเหมือนกับที่อื่นเท่าไร... ...ไอ้คำว่า สมาร์ต ซิตี้ ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน มช. มันมี Projects ย่อย ๆ เต็มไปหมดเลยทำให้เกิดให้เป็น Smart Campus ขึ้นมาได้...” สัมภาษณ์ พนักงานผู้ปฏิบัติงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1 (2566)

[26]  “...ศูนย์ฯ เราเป็นเจ้าของ Project Manager โครงการเมืองอัจฉริยะของมหาวิทยาลัยเป็นศูนย์กลาง ถ้าหน่วยงานใดอยากทำอะไรก็มาขอความร่วมมือจากเรา และทางศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนก็จะเข้าไปช่วย หรือศูนย์ฯ ก็สามารถเป็นเจ้าของหรือริเริ่มโครงการใดๆ ก็ทำเองได้เลย... ...หลัก ๆ ทางศูนย์ฯจะเป็นที่ปรึกษาและช่วยเหลือสนับสนุนให้กับคณะและหน่วยงานต่างๆ ในมช. และหน่วยงานภายนอกรวมถึงเมืองต่างๆ ที่พวกเขาอยากจะพัฒนาเมืองอัจฉริยะ แต่ขาดองค์ความรู้ในการพัฒนาไปสู่เมืองอัจฉริยะ ทางศูนย์ฯ เรามีองค์ความรู้เป็นของตัวเองจึงเป็นผู้ให้คำปรึกษา ร้อยเรียงคอยแก้ปัญหาต่างๆ ได้ โดยที่พร้อมให้คำปรึกษาหน่วยงานต่างๆ เราให้ฟรี พร้อมให้บริการทุกอย่าง ถ้าต้องการเราก็พร้อมที่จะให้เราก็มีการติดตาม และให้ความช่วยด้วย ซึ่งบางครั้ง หน่วยงานต่าง ๆ โดนหลอกขายพวกโปรแกรม ระบบ เราก็ช่วยเขาคอยคัดกรองให้ว่าบริษัทเอกชนเจ้านี้ดีกว่านะ ซื้อแบบนี้ แบบนี้... จาก  สัมภาษณ์ พนักงานผู้ปฏิบัติงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1 (2566)

[27]  คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (31 ส.ค., 2561). ผู้บริหารคณะวิทยาศาสตร์ร่วมพิธีเปิดอาคารศูนย์กลางขนส่งมวลชนอัจริยะ พลังงานสีเขียว ใช้ก๊าซ CBG จากขยะ แห่งแรกของประเทศ  [เว็บเพจ, ออนไลน์]. ประชาสัมพันธ์ คณะวิทยาศาสตร์, https://cmu.to/FHVP2

[28]  ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2563). SCMC รายงานประจำ ปี 2020. ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 29-30, https://cmu.to/annualreport2020

[29]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (6 ม.ค., 2564). พิธีเปิดใช้รถไฟฟ้ารูปแบบใหม่ (CMU Electric Shuttle Car) อย่างเป็นทางการ [เว็บเพจ, ออนไลน์]. ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เข้าถึง 10 ต.ค. 2023, https://cmu.to/eBPj2

[30]  ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, หน้าแรก (รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, กดเพื่อเข้าสู่ REAL TIME MAP) [เว็บไซต์,ออนไลน์], เข้าถึง 11 .., 2568, https://transit.scmc.cmu.ac.th/

[31]  โพสต์ทูเดย์. (11 ม.ค., 2567). มช. พร้อมดึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ร่วมจัดการเมืองอัจฉริยะ CMU Smart City [เว็บเพจ, ออนไลน์]. บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน), https://cmu.to/CEdjU

*[32]  *พนักงานผู้ปฏิบัติงาน ด้านงานขับรถขนส่งมวลชนคนที่ 2 กล่าวว่า “…ผมคิดว่า มช. มีแนวคิดพยายามลดการใช้รถที่ปล่อยควันลง... ...แต่ยังลดได้น้อยนะ นักศึกษาใช้รถที่ปล่อยควันต่าง ๆ มากขึ้นในทุกปี คิดว่า มช. เราพยายามเป็นต้นแบบให้เห็นหรือส่งเสริมพลังงานสะอาด ด้านสิ่งแวดล้อม ที่เราเป็นแหล่งรวมความรู้ มช. ต้องทำให้คนทั่วไปได้เห็นทำก่อน... เชื่อมต่อข้อมูลคนนั่ง GPS ผ่านโทรศัพท์หน้าจอทันทีซึ่งดี เรื่องรถผมขับทุกวัน รถนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบไม่มีน้ำมัน ไม่เกิดควัน สามารถรองรับได้คนได้สูงสุด 16 คน ...รถในศูนย์ ขส.มช. ใช้ไม่ได้ทั้งหมด มีซ่อม มีเสียบ้างตามเวลา... คนนั่งเฉลี่ย ๆ แล้วระดับหนึ่ง เต็มบ้าง บางช่วงเวลา ไม่เต็มบ้าง แล้วแต่สาย แล้วแต่เวลา ...นักศึกษาบ่นว่านั่งแล้วเมา ร้อนบ้าง ในช่วงเวลาเร่งด่วนรถไม่พอบ้าง คงต้องปรับปรุงต่อไป... จาก สัมภาษณ์ พนักงานผู้ปฏิบัติงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 4 (2566)

[33]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 4 (2566)

[34]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 (2566)

[35]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[36]  สัมภาษณ์ นักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[37]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 (2566)

[38]   *เรียบเรียงใหม่ จากการสัมภาษณ์ผู้นำ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนามหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมืองอัจฉริยะ (2566)

[39]  Sustainable University Network of Thailand : SUN Thailand. (ม.ป.ป.) CMU Smart City Clean Energy, เข้าถึง 17 พ.ย. 2566, https://sunthailand.net/bestpractice/69

[40]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.  (3 ต.ค., 2562). โครงการจัดตั้งวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ [เว็บเพจ, ออนไลน์]. ศูนย์สื่อสารองค์กรและนักศึกษาเก่าสัมพันธ์, https://cmu.to/nwLca

[41]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (28 ม.ค. 2563). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดตัวโครงการจัดตั้งวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต CMU lifelong Education [เว็บเพจ, ออนไลน์]. ศูนย์สื่อสารองค์กรและนักศึกษาเก่าสัมพันธ์, https://cmu.to/QWUCt

[42]  วิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). หลักสูตรเพื่อสังคม (หลักสูตร, เกษียณมีดี, CMU MOOC,LEAP Academy) [เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 1 .2568, 08:05:05 GMT+0700 (Indochina Time), https://www.lifelong.cmu.ac.th/life-skills

[43]   วิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). หลักสูตร Reskill/Upskill (เกี่ยวกับหลักสูตร Reskill/Upskill, หลักสูตรอบรมระยะสั้น, Skills4Life, Data Science, CMU IDP) [เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 1 .2568, 07:05:05 GMT+0700 (Indochina Time), https://www.lifelong.cmu.ac.th/skills4life

[44]  คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์. (ม..ป), การเรียนการสอน (คอร์สทั้งหมด, การเป็นพลเมือง (Citizenship)) [เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 11 .พ., 2025, https://bit.ly/3Qy5yBq

[45]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2565). Home สัมมนาผู้บริหารมหาวิทยาลัย ประจำปี 2022 (รายชื่อผลงาน Poster Presentation, คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่). เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 14 .2567, https://seminar.cmu.ac.th/

[46] คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์. (ม..ป), การเรียนการสอน (หลักสูตรระยะสั้นและMOU, โครงการอบรมระยะสั้น Global Citizenship) [เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 11 .., 2568, https://cmu.to/4GLTA

[47]  สัมภาษณ์ ผู้นำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[48]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[49]  วิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.).  หน้าหลัก, (แสดงจำนวน หลักสูตรและ ผู้เรียนทั้งหมด แบบเรียลไทม์) [เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 2 กพ., 2567, 12:25:02 GMT+0700 (Indochina Time),  www.lifelong.cmu.ac.th

[50]  วิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.).  หน้าหลัก, (แสดงจำนวน หลักสูตรและ ผู้เรียนทั้งหมด แบบเรียลไทม์) [เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 1 กพ., 2568, 12:25:02 GMT+0700 (Indochina Time),  www.lifelong.cmu.ac.th

[51]  สัมภาษณ์ ผู้นำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[52]  สัมภาษณ์ นักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 (2566)

[53]  สัมภาษณ์ นักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 4 (2566)

[54]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[55]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 (2566)

[56]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1 (2566)

[57] มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (16 ธ.ค., 2564). มช. รับมอบตราสัญลักษณ์ Smart City Thailand ได้รับรองเป็น “พื้นที่พัฒนาเมืองอัจฉริยะ” 1 ใน 15 เมืองอัจฉริยะของประเทศ. ศูนย์สื่อสารองค์กรและนักศึกษาเก่าสัมพันธ์, https://cmu.to/QryOr

[58]  *เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์ พนักงานผู้ปฏิบัติงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1 (2566)

[59]  สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). เครือข่ายไร้สายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Jumbo Net, เข้าถึงเมื่อ 31 ต.ค., 2566, https://jumbo.cmu.ac.th

[60]  *สรุปและเรียบเรียงจากการสัมภาษณ์ ผู้นำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 (2566)

[61]  Chiang Mai University. (14 ก.ค., 2565 ). ศูนย์สุขภาพมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ [ยูทูป, ออนไลน์], เข้าถึง 13 ส.ค. 2566, https://www.youtube.com/watch?v=h3QjOdugJwM

[62]  ศูนย์สุขภาพมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). พิธีเปิดและพิธีทำบุญอาคารศูนย์สุขภาพมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ [เว็บเพจ, ออนไลน์], เข้าถึง 23 เม.ย., 2567, https://cmu.to/pULb0

[63]  สัมภาษณ์ ผู้นำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[64]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 (2566)

[65]  สัมภาษณ์ นักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[66]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 (2566)

[67]  สัมภาษณ์ นักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[68]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[69]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 4 (2566)

[70]  สัมภาษณ์ นักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1 (2566)

[71]  *เรียบเรียงจาก การสัมภาษณ์โดยผู้เขียนจาก ผู้นำ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนามหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมืองอัจฉริยะ (2566)

[72]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2561). ประกาศ เรื่องร่าง TOR โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 11-12, https://bit.ly/40Mo7bq

[73]  สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (28. ธ.ค. 2564). ERDI-EASY SMART METER SYSTEM โปรแกรม “แสดงผลการใช้ไฟฟ้า” อัจฉริยะ [เว็บเพจ, ออนไลน์], เข้าถึง 9 ม.ค., 2567, https://bit.ly/44S4ZZA

[75]  Architecture CMU. (25 ม.ค., 2566).โครงการนวัตกรรมต้นแบบอาคารเรียนประหยัดพลังงาน ปลอดฝุ่นเพื่อสุขภาวะที่ดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มช. [ยูทูป, ออนไลน์], http://y2u.be/q6sGGMEoo2s

[76]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (8 พ.ย., 2564). ประกาศ เรื่อง นโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน, 1, https://bit.ly/3O7h9qd

[77]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (11 ต.ค., 2566). ประกาศ เรื่อง นโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน, เข้าถึง 21 ก.ย., 2567, https://netzero.cmu.ac.th/web/?page_id=2543

[78]  สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2 ต.ค., 2567). สำนักหอสมุดประกาศเป้าหมายสิ่งแวดล้อม ประจำปี 2566 – 2567[เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 16 พ.ย., 2567, https://library.cmu.ac.th/News/NewsDetail/1/1142

[79]  สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (22 มี.ค. 2019). บีซีพีจี มช. ลงนามใช้บล็อกเชนบริหารจัดการพลังงานสะอาด มุ่งสู่มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ [เว็บเพจ, ออนไลน์], https://cmu.to/4vp1r

[80]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2566). ครบรอบ 60 ปี มช. พร้อมก้าวสู่ทศวรรษที่ 7 ของการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งนวัตกรรม. ศูนย์สื่อสารองค์กรและนักศึกษาเก่าสัมพันธ์ [เว็บเพจ, ออนไลน์], https://cmu.to/AfbHe

[81]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ค.-พ.ค., 2568). หน้าแรก (สถิติการใช้ไฟรายเดือน, ม.ค.- 15 พ.ค. 2568) [เว็บเพจ, ออนไลน์]. สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, เข้าถึง 17.8., 2568, 09:35:10 GMT+0700 (Indochina Time) https://netzero.cmu.ac.th/web/

[82]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม..ป). หน้าแรก (การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เดือน ม.ค 2565-ม.ค 2568) [เว็บไซต์, ออนไลน์]. สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เข้าถึง 22 ก.พ., 2568, 01:25:10 GMT+0700 (Indochina Time), https://netzero.cmu.ac.th/web/

[83]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (18.พ.ค., 2566). มช. ติดตั้งระบบโครงข่ายพลังงานไฟฟ้าและพลังงานน้ำอัจฉริยะ ส่งเสริมพลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน. สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, https://www.cmu.ac.th/th/article/56c9f031-a476-4d6e-b64e-15cab62a92f5

[84]  สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2 ต.ค., 2567). สำนักหอสมุดประกาศเป้าหมายสิ่งแวดล้อม ประจำปี 2566 – 2567 [เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 16 พ.ย., 2567, https://cmu.to/HhjLN

[85]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 4 (2566)

[86]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 (2566)

[87]  สัมภาษณ์ นักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[88]  มช ทูเดย์. (17 มิ.ย., 2561). มช. ก้าวสู่ Cashless Society ค่าเทอม-หอพัก-ร้านค้า รองรับการจ่ายผ่าน QR Code เริ่มใช้สิงหาคม 2561. Meta Platform Inc. [เฟซบุ๊ก, ออนไลน์], เข้าถึง 15 ก.พ. 2565, https://cmu.to/CVHWQ

[89]  ประชาชาติธุรกิจ. (10 มิ.ย., 2564). มช. ปั้น 4 ดีปเทคสตาร์ตอัพ ดัน “อ่างแก้ว” ระดมทุนสร้างธุรกิจ 3 พันล้าน [เว็บเพจ, ออนไลน์], เข้าถึง 11 ก.พ. 2567 https://cmu.to/ziIYX

[90]  สรุปและเรียบเรียงจากการสัมภาษณ์ นักงานผู้ปฏิบัติงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1 (2566)

[91] Creden Data. (25 เมย., 2567). บริษัท อ่างแก้ว โฮลดิ้ง จำกัด (ANG KAEW HOLDING COMPANY LIMITED) [เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 25 เมย., 2567, https://data.creden.co/company/general/0505561000395

[92]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (5 เม.ย. 2564). มช. เปิด “MORE SPACE” สร้าง Community แห่งใหม่ เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งเสริมการท่องเที่ยว. ศูนย์สื่อสารองค์กรและนักศึกษาเก่าสัมพันธ์, https://cmu.to/n0NxX

[93]  งานบริการสาธารณูปโภคและซ่อมบำรุง กองอาคารสถานที่และสาธารณูปโภค ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน. (ม.ป.ป.). ระบบรายงานไฟฟ้าน้ำปะปา (รายงานปริมาณการใช้น้ำประปาของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปี 2564-2566), มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,  เข้าถึง 22 เม.ย., 2567, 01:22:00 GMT+0700 (Indochina Time), https://cmu.to/UPx6H

[94]  ผศ. ดร.ธัญญานุภาพ อานันทนะ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์ผ่านแพลตฟอร์มยูทูป จาก THE SECRET SAUCE. (8 เมษ. 2568). STeP ม.เชียงใหม่ แหล่งปั้นสตาร์ทอัพเบอร์ 1 ไทย 4 พันล้าน | Secret Science EP.18. Google LLC, https://cmu.to/UfM00

[95]  อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2567). รายงานผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2566 (Annual Report). อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี , 1-118, https://cmu.to/P853J

[96]  สัมภาษณ์ นักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[97]  สัมภาษณ์ นักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[98]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 4 (2566)

[99]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 (2566)

[100]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2025). รายงานกิจการมหาวิทยาลัยที่ดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2024 (Good University Report (GUR)). กองแผนงาน สำนักงานมหาวิทยาลัย, 6.

[101]  ไทยพับลิก้า (THAI PUBLICA). (4 ก.ค. 2565). แผน 5 ปี มช.ชู นวัตกรรม*-ดิจิทัล สู่มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก [เว็บเพจ, ออนไลน์], http://thaipublica.org/2022/07/cmu-vission-5-year-plan/

[102]  สำนักงานบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (25674). รายงานประจำปีของสำนักงานบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ 2023 (Annual Report), 2-3, https://cmu.to/ytMdv

[103]  สรุปและเรียบเรียงโดยผู้เขียนจากการสัมภาษณ์ รศ.ดร.จักรพงศ์ นาทวิชัย, ผู้อำนวยการสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และหนึ่งในคณะอนุกรรมการฯ การยกระดับสู่มหาวิทยาลัยอัจฉริยะเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568

[104]  สัมภาษณ์ ผู้นำ หน่วยงานที่ขับเคลื่อนการพัฒนามหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมืองอัจฉริยะ 3 (2566)

[105]   สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2024). คู่มือ IT LIFE สำหรับนักศึกษา ฉบับปี 2567. สำนัก, 1-16, https://cmu.to/qLBiP

[106]  สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). บริการทั้งหมด ITSC Services [เว็บเพจ, ออนไลน์], เข้าถึง 22 ธ.ค., 2566, https://itsc.cmu.ac.th/th/service/filter

[107]  สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ (e-Document) เป็นระบบที่ถูกนำมาใช้งานทางด้านงานสารบรรณ, [เว็บเพจ, ออนไลน์], เข้าถึง 1 พ.ค., 2567, https://cmu.to/tYeNK

[108]  สำนักงานการตรวจสอบภายใน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). วิธีการใช้งาน ระบบ CMU e-Document สำหรับนักตรวจสอบภายใน, https://fliphtml5.com/ggibm/xodw/basic

[109]  คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (19 ธ.ค. 2565). Mass Comm ครองแชมป์ใช้ CMU e-Document 100% ร่วมพัฒนาหลักสูตรให้ชาว มช.เรียนรู้ ช่วยลดกระดาษ – เพิ่มประสิทธิผล – ส่งเสริมนโยบาย Digital University [เว็บเพจ, ออนไลน์], เข้าถึง 4 ม.ค. 2567, https://bit.ly/3XVZFRX.

[110]  สัมภาษณ์ พนักงานผู้ปฏิบัติงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1 (2566)

[111]  สัมภาษณ์ พนักงานผู้ปฏิบัติงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 5 (2566)

[112] คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). Portal (Home) [เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 13 เม.., 2567, https://cmu.to/VCOkl และ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์. (ม.ป.ป.). POL SIS Student Information System School of  Political Science and Public Administration [เว็บไซต์, ออนไลน์], เข้าถึง 13 เม.., 2567, https://sis.pol.cmu.ac.th/login

[113]  สัมภาษณ์ พนักงานผู้ปฏิบัติงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1 (2566)

[114]  สัมภาษณ์ พนักงานผู้ปฏิบัติงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1 (2566)

[115]  สัมภาษณ์ พนักงานผู้ปฏิบัติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[116]  สัมภาษณ์ ผู้นำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 (2566)

[117]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 (2566)

[118]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 4 (2566)

[119]  สัมภาษณ์ นักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1 (2566)

[120]  สัมภาษณ์ นักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[121]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 (2566)

[122]  สัมภาษณ์ ผู้แทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 (2566)

[123]  เดลินิวส์. (24 พ.ย., 2566). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คว้ารางวัลชนะเลิศ Smart City Solutions Awards 2023 ระดับ “ดีเลิศ” [เว็บเพจ, ออนไลน์], เข้าถึง 2 ม.ค. 2567, https://cmu.to/jq1Oa

[124]  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (6 พ.ย., 2567). รับรางวัล Smart City Solutions Awards 2567 หัวข้อ ด้านขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) [เว็บเพจ, ออนไลน์]. ศูนย์สื่อสารองค์กรและนักศึกษาเก่าสัมพันธ์, เข้าถึง 11 ธ.ค. 2567, https://cmu.to/femjJ

[125] . มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). หน้าแรก (การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งมหาวิทยาลัยฯ ปี 2024, 1 .ค – 15 พ.ค. 2024). สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์, เข้าถึง 15 พ.ค., 2567, 03:40:10 GMT+0700 (Indochina Time), https://cmu.to/3fQX8



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับโครงการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมืองอัจฉริยะ ความเป็นเลิศที่ยั่งยืนสู่ชุมชน (CMU Smart City)